ONWARD คู่ซ่าล่ามนต์มหัศจรรย์

ONWARD คู่ซ่าล่ามนต์มหัศจรรย์

เข้าฉาย:     5 มีนาคม 2563

พากย์เสียง:   ทอม ฮอลแลนด์, คริส แพรตต์, จูเลีย หลุยส์-ดรายฟัส, อ๊อคเทเวีย สเปนเซอร์, เมล โรดริเกซ, ไคล์ บอร์นไฮม์เมอร์,

ลีน่า เวทธ์, อาลิ หว่อง, เกรย์ กริฟฟิน, เทรซี่ อัลล์แมน, วิลเมอร์, วัลเดอร์รามา, จอร์จ ซาราส, จอห์น แรทเซนเบอร์เกอร์

ผู้กำกับ:           แดน สแกนลอน

ผู้อำนวยการสร้าง: คอรี่ เรย์

ผู้ประพันธ์ดนตรี: มายเคิล แดนน่า และ เจฟฟ์ แดนน่า

ตัวอย่างภาพยนตร์

เมื่อเอลฟ์วัยรุ่น 2 พี่น้อง เอียน และบาร์ลีย์ ไลท์ฟุต (ให้เสียงโดย ทอม ฮอลแลนด์ และคริส แพรตต์) มีโอกาสที่ไม่คาดคิดที่จะได้ใช้เวลากับพ่อผู้จากไปอีก 1 วัน พวกเขาได้ออกไปฏิบัติภารกิจสุดมหัศจรรย์ด้วยกวินนีเวียร์ รถตู้สุดเจ๋งของบาร์ลีย์ เช่นเดียวกับสุดยอกการผจญภัยอื่นๆ การเดินทางของพวกเขาเต็มไปด้วยเวทมนตร์คาถา แผนที่ปริศนา อุปสรรคต่างๆนานา และการค้นพบที่เกินจินตนาการ แต่เมื่อลอว์เรล (ให้เสียงโดยจูเลีย หลุยส์-ดรายฟัส) แม่ผู้ไม่เคยกลัวใครของพวกเขารู้ว่าลูกของเธอหายตัวไป เธอเลยร่วมมือกับ ครึ่งสิงโต ครึ่งค้างคาว ครึ่งแมงป่อง และอดีตนักรบ ในนาม แมนติคอร์ (ให้เสียงโดยอ็อคเทเวีย สเปนเซอร์) และออกตามหาพวกเขา ถ้าไม่นับคำสาปสุดอันตราย หนึ่งวันสุดมหัศจรรย์นี้อาจมีความหมายมากกว่าวันไหนๆที่พวกเขาเคยฝันถึงเลยก็ได้

“ONWARD – คู่ซ่าล่ามนต์มหัศจรรย์” กำกับโดยแดน สแกนลอน และอำนวยการสร้างโดย คอรี่ เรย์ เข้าฉายในโรงภาพยนตร์วันที่ 5 มีนาคม 2563

เกร็ดน่ารู้

  • เรื่องราวใน “ONWARD – คู่ซ่าล่ามนต์มหัศจรรย์” ได้รับแรงบันดาลใจมาจากประสบการณ์ส่วนตัวของผู้กำกับแดน สแกนลอนที่มีต่อพี่ชายของเขา 
Onward คู่ซ่าล่ามนต์มหัศจรรย์

Release Date:   March 5, 2020

Voice Cast: Tom Holland, Chris Pratt, Julia Louis-Dreyfus, Octavia Spencer, Mel Rodriguez, Kyle Bornheimer, Lena Waithe, Ali Wong, Grey Griffin, Tracey Ullman, Wilmer Valderrama,

George Psarras, John Ratzenberger

Director:           Dan Scanlon

Producer:          Kori Rae

Composers:                 Mychael Danna and Jeff Danna

When teenage elf brothers Ian and Barley Lightfoot (voices of Tom Holland and Chris Pratt) get an unexpected opportunity to spend one more day with their late dad, they embark on an extraordinary quest aboard Barley’s epic van Guinevere. Like any good quest, their journey is filled with magic spells, cryptic maps, impossible obstacles and unimaginable discoveries. But when the boys’ fearless mom Laurel (voice of Julia Louis-Dreyfus) realizes her sons are missing, she teams up with a part-lion, part-bat, part-scorpion, former warrior – aka The Manticore (voice of Octavia Spencer) – and heads off to find them. Perilous curses aside, this one magical day could mean more than any of them ever dreamed. Directed by Dan Scanlon and produced by Kori Rae, Disney and Pixar’s “Onward” opens in theaters on March 5, 2020.   

NOTES:

  • “Onward” is inspired by director Dan Scanlon’s personal experiences with his brother.

“นายจะต้องพูดจากไฟที่ลุกโชนในหัวใจของนาย”
– บาร์ลีย์ ไลท์ฟุ้ท พูดกับเอียน ไลท์ฟุ้ท, “Onward”

ข้อมูลงานสร้าง

Disney and Pixar’s Onward คู่ซ่าล่ามนต์มหัศจรรย์

                “Onward” ผลงานสร้างโดยดิสนีย์และพิกซาร์ ที่มีเรื่องราวเกิดขึ้นในย่านชานเมืองของโลกแฟนตาซี เป็นเรื่องราวของสองพี่น้องเอลฟ์วัยรุ่น ผู้เผชิญกับการเดินทางสุดพิเศษเพื่อค้นหาคำตอบว่า ยังมีเวทมนตร์หลงเหลืออยู่บ้างรึเปล่า “เรื่องราวนี้ได้แรงบันดาลใจจากความสัมพันธ์ระหว่างผมกับพี่ชายและความผูกพันที่เรามีต่อพ่อของเราที่จากไปตอนที่ผมอายุได้หนึ่งขวบครับ” ผู้กำกับแดน สแกนลอนกล่าว “เขาเป็นปริศนาสำหรับเราเสมอ มีสมาชิกครอบครัวคนหนึ่งส่งเทปบันทึกภาพเขาที่พูดออกมาเพียงแค่สองคำคือ ‘สวัสดี’ และ ‘ลาก่อน’ สองคำเท่านั้น แต่สำหรับผมและพี่ชาย มันเป็นเวทมนตร์ครับ

                “นั่นเป็นจุดเริ่มต้น” สแกนลอนกล่าวต่อ “เราทุกคนต่างก็เคยสูญเสียใครซักคน และถ้าเราสามารถใช้เวลากับพวกเขาได้มากขึ้นอีกซักวัน มันจะเป็นโอกาสที่น่าตื่นเต้นขนาดไหน เรารู้ว่าถ้าเราอยากจะบอกเล่าเรื่องราวนั้น เราจะต้องสร้างหนังเรื่องนี้ขึ้นมาในโลกที่คุณจะสามารถมีโอกาสที่เหลือเชื่อนั้นได้”

                ทีมผู้สร้างตัดสินใจว่าโลกของพวกเขาต้องการเวทมนตร์ “มันเป็นหนังแฟนตาซีย่านชานเมืองสมัยใหม่ ซึ่งเป็นแนวใหม่สำหรับพิกซาร์” ผู้อำนวยการสร้างคอรี่ เรย์กล่าวกลั้วหัวเราะ ทีมผู้สร้างเติมเต็มโลกของพวกเขาด้วยเอลฟ์ นางไม้ เซเทอร์ ไซคล็อป เซนทอร์ โนมและโทรลล์ รวมถึงสิ่งมีชีวิตอื่นๆ จากเทพปกรณัม เรื่องเล่าพื้นถิ่น ตำนานและนิยายแฟนตาซี แต่ปรากฏว่า เวทมนตร์ได้หายไปจากโลกใบนี้มานานแล้ว จนมันแทบจะถูกลืมเลือนไปสิ้น “มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ใช้เวทมนตร์ได้” เรย์กล่าว “มันเป็นเรื่องยากและคุณก็ต้องฝึกฝนจริงๆ จังๆ เมื่อเทคโนโลยีก้าวเข้ามา ทุกคนก็พบวิธีที่ง่ายดายขึ้นในการทำสิ่งต่างๆ เวทมนตร์เป็นสิ่งเป็นไปได้ เพียงแต่ไม่มีใครใช้เวทมนตร์จริงๆ จังๆ อีกต่อไปแล้วน่ะค่ะ”

                เรื่องราวนี้ได้แนะนำให้เรารู้จักกับเอียน เอลฟ์ผู้สูญเสียพ่อของเขาไปก่อนที่เขาจะเกิดเสียอีก ด้วยความไม่มั่นใจและความเป็นคนเก็บตัว เอียนอยากจะเป็นคนแข็งแกร่งและมั่นใจ และเขาก็แน่ใจว่าถ้าเขาโตมากับพ่อของเขา เขาคงจะเป็นคนแบบนั้น “เขาขี้อายและงุ่มง่ามนิดๆ น่ะครับ” สแกนลอนกล่าว “และเราก็จับคู่เขากับบาร์ลีย์ พี่ชายผู้เป็นตัวป่วนของเขา ผู้ที่สร้างปัญหาให้กับเอียนเสมอๆ บาร์ลีย์อยากจะสอนเรื่องเกี่ยวกับชีวิตให้กับน้องชายของเขา แต่เอียนก็ไม่ค่อยแน่ใจนักว่าบาร์ลีย์รู้หรือเปล่าว่าตัวเองกำลังพูดถึงอะไรอยู่”

                เอียนพบว่าในวันเกิดครบรอบ 16 ปีของเขา ไม่มีอะไรที่เขาใฝ่ฝันไปมากยิ่งกว่าการเป็นคนที่ดีกว่านี้และกล้าหาญกว่านี้ เหมือนกับพ่อของเขามากกว่านี้  ดังนั้น เมื่อแม่ของเขามอบของขวัญที่พ่อผู้ล่วงลับไปแล้วทิ้งไว้ให้กับพวกเขา เอียนก็มองเห็นโอกาสในการจะได้ทำในสิ่งที่เขาฝันถึงมาโดยตลอด ซึ่งก็คือการได้รับคำแนะนำจากพ่อของเขา “พ่อทิ้งจดหมายให้ทั้งคู่พร้อมกับคาถาลึกลับ ไม้เท้าพ่อมดและอัญมณีพิเศษที่จะทำให้พวกเขาได้ใช้เวลาอยู่กับเขาได้หนึ่งวัน” สแกนลอนกล่าว “ในตอนที่พ่อของพวกเขาป่วน เขาอยากจะหาวิธีที่ทำให้เขาได้เห็นว่าลูกๆ ของเขาโตขึ้นมาเป็นยังไงน่ะครับ”

ถึงเอียน และบาร์ลีย์,

นานมาแล้ว โลกใบนี้เต็มไปด้วยสิ่งมหัศจรรย์ มันท้าทาย น่าตื่นเต้น และที่เยี่ยมที่สุด มันมีเวทมนตร์ และเวทมนตร์นั้นก็ช่วยเหลือทุกคนที่ต้องการมัน แต่การใช้เวทมนตร์ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ดังนั้น โลกเราก็เลยหาวิธีที่ง่ายกว่านั้น เมื่อเวลาผ่านไป เวทมนตร์ก็เลือนรางไป แต่พ่อก็หวังว่าจะยังมีเวทมนตร์เล็กๆ หลงเหลืออยู่ในตัวลูกพ่อก็เลยเขียนคาถานี้ขึ้นมาเพื่อที่พ่อจะได้เห็นว่าลูกพ่อโตขึ้นมาเป็นยังไงด้วยตัวเอง

ครั้งหนึ่งคือทั้งหมดที่เราจะได้ ขอชีวีจงไหลกลับคืนจนกว่าอาทิตย์วันรุ่งจะสิ้น
วันหนึ่งที่เราจะได้ยืนบนผืนแผ่นดิน

บาร์ลีย์ตกลงในทันที เพราะเขาชื่นชอบประวัติศาสตร์ของโลกของพวกเขาและความเป็นไปได้เรื่องเวทมนตร์อยู่แล้ว แต่คาถานั้นกลับไม่ได้เป็นไปตามแผนที่วางเอาไว้ และพวกเขาก็บังเอิญทำลายอัญมณีไปเสียก่อนที่ขั้นตอนจะเสร็จสมบูรณ์ “พวกเขาทำได้แค่เรียกขาของพ่อพวกเขาออกมา ซึ่งมันก็มีชีวิตชีวามากซะด้วย” สแกนลอนกล่าว “และพวกเขาก็มีเวลา 24 ชั่วโมงในการตามหาอัญมณีอีกเม็ดหนึ่ง และเรียกพ่อของพวกเขาแบบเต็มตัวให้ได้ก่อนที่เขาจะหายตัวไปตลอดกาล”

Disney and Pixar’s Onward คู่ซ่าล่ามนต์มหัศจรรย์ 
5 มีนาคม ในโรงภาพยนตร์

                สองพี่น้องเรียกใช้งานรถตู้กิเนเวียร์ที่รักของบาร์ลีย์และก้าวสู่การเดินทางที่แน่นอนว่าจะทดสอบความสัมพันธ์ของพวกเขา “บาร์ลีย์ใช้เวลาทั้งชีวิตไปกับการศึกษาเรื่องของการเดินทางที่มีเป้าหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่เอียนเป็นคนที่สามารถร่ายเวทมนตร์ได้” เรย์กล่าว “พวกเขาตระหนักว่าพวกเขาต้องการกันและกันค่ะ”

                ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายเรื่องราว เคลซีย์ แมนน์กล่าวว่า เรื่องราวนี้นำเสนออะไรมากมาย “ผมชื่นชอบไอเดียของการได้ใช้เวลากับคนที่คุณสูญเสียไปมากขึ้นอีกซักวัน” เขากล่าว “ใครจะไม่เข้าใจเรื่องนั้นล่ะครับ สิ่งที่โดดเด่นเหลือเกินเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้คือเรารู้ตั้งแต่เริ่มแรกแล้วว่าเราต้องการที่จะสื่ออารมณ์อะไรออกมากับเรื่องราวนี้น่ะครับ”

                เรย์กล่าวเห็นพ้องด้วย “พี่สาวของฉันทำทุกอย่างเพื่อสนับสนุนฉันและดูแลฉันระหว่างช่วงเวลายากลำบากในตอนที่ฉันเรียนไฮสคูลอยู่” เธอกล่าว “ฉันก็เลยเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างเอียนและบาร์ลีย์แบบนั้น จริงๆ แล้ว เราพบว่าทุกคนต่างก็ความผูกพันเป็นการส่วนตัวกับเรื่องราวนี้ บางคนเหมือนอย่างแดน เสียพ่อแม่ไปตอนที่ยังเด็ก คนอื่นๆ ก็มีความสัมพันธ์พิเศษกับแม่หรือพี่สาว ฉันคิดว่ามันช่วยทำให้เรื่องราวนี้พิเศษสุดจริงๆ ค่ะ”

                “Onward” ได้ทอม ฮอลแลนด์ มาพากย์เสียง เอียน ไลท์ฟุ้ท, คริส แพรตต์ มาพากย์เสียง บาร์ลีย์ ไลท์ฟุ้ท และจูเลีย หลุยส์-ดรายฟัส มาพากย์เสียง ลอเรล ไลท์ฟุ้ท แม่ของพวกเขา อ๊อคเทเวีย สเปนเซอร์ พากย์เสียง แมนติคอร์ อดีตนักรบดุดันผู้สูญเสียจิตวิญญาณในการต่อสู้ของเธอ และเมล โรดริเกซ พากย์เสียง เจ้าหน้าที่โคลท์ บรองโก้ ผู้เอาชนะใจลอเรล แต่ยังคงต้องพยายามเอาชนะใจลูกๆ ของเธอต่อไป ลีนา เว็ธ พากย์เสียง เจ้าหน้าที่สเป็คเตอร์, อาลี หว่อง พากย์เสียง เจ้าหน้าที่กอร์และเกรย์ กริฟฟิน พากย์เสียง ดิวดร็อป ผู้นำของเหล่าพิกซี ดัสเตอร์ เทรซีย์ อัลล์แมน ถูกเรียกตัวมาเนรมิตชีวิตให้กับบทเกร็คลิน เจ้าของโรงรับจำนำและวิลเมอร์ วัลเดอร์รามา พากย์เสียง แก็กซ์ตัน เพื่อนเก่าของพ่อ ผู้แบ่งปันเรื่องราวให้เอียนได้รับรู้

                ภาพยนตร์เรื่องใหม่นี้กำกับโดยสแกนลอนและอำนวยการสร้างโดยเรย์ พีท ด็อคเตอร์รับหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างบริหาร โดยมีสแกนลอน, เจสัน ฮีดลีย์และคีธ บูนินเขียนบทภาพยนตร์ “Onward” นำเสนอดนตรีที่มีชีวิตชีวาจากฝีมือของนักประพันธ์ผู้ได้รับรางวัลมากมาย ไมเคิล แดนนา (เจ้าของรางวัลออสการ์จาก “Life of Pi”) และเจฟฟ์ แดนนา และเจ้าของห้ารางวัลแกรมมี อวอร์ด แบรนดี้ คาร์ไลล์ เป็นผู้ขับร้องเพลงออริจินอล “Carried Me With You” สำหรับช่วงเครดิตตอนจบ  “Onward” จากดิสนีย์และพิกซาร์พร้อมโลดแล่นในโรงภาพยนตร์อเมริกาในวันที่ 6 มีนาคม ปี 2020

ONWARD” แนะนำตัวละครที่หลากหลายและมหัศจรรย์

เรื่องราวออริจินอลที่มีทั้งเอลฟ์ เซนทอร์ เซเทอร์ ไซคล็อป ยูนิคอร์น โนม นางไม้

และแมนติคอร์ที่น่าประทับ น่าสะพรึงกลัวและน่าทึ่งที่สุด

Disney and Pixar’s Onward คู่ซ่าล่ามนต์มหัศจรรย์ 
5 มีนาคม ในโรงภาพยนตร์

                แรงบันดาลใจส่วนตัวของผู้กำกับแดน สแกนลอนสำหรับ “Onward” ได้จุดประกายการพัฒนาสิ่งที่กลายเป็นภาพยนตร์เรื่องที่ 22 ของพิกซาร์ แอนิเมชั่น สตูดิโอส์ “เราเริ่มต้นจากตัวละครก่อน” สแกนลอนกล่าว “เราอยากจะบอกเล่าเรื่องราวของสองพี่น้อง เรารู้ว่าคนหนึ่งจะขี้อายและงุ่มง่าม และเราก็อยากจะจับคู่เขากับพี่ชายที่มีนิสัยตรงกันข้าม คนที่ตั้งใจจะสอนเขาเกี่ยวกับชีวิตแต่บางที ตัวเขาเองก็อาจจะไม่ค่อยรู้เรื่องมันซักเท่าไหร่หรอกน่ะครับ”

                แม้ว่าตัวละครทั้งหลายจะเกิดขึ้นจากจินตนาการ แต่ก็เป็นเรื่องสำคัญสำหรับทีมผู้สร้างที่พวกเขาทุกคนจะต้องมีอารมณ์และความลำบากใจที่เหมือนกับมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาตัวละครหลัก “เราอยากจะใส่ความเป็นมนุษย์เข้าไปในเรื่องเพ้อฝัน” ผู้กำกับศิลป์ฝ่ายตัวละคร แมทท์ โนลเต้กล่าว “เราต้องการจะอ่านและเข้าถึงอารมณ์ของพวกเขาได้ครับ”

                เอลฟ์มีลักษณะและสีหน้าแบบมนุษย์ แต่ข้อเท็จจริงที่ว่ารูปลักษณ์อื่นๆ ของพวกเอลฟ์มีความมหัศจรรย์ช่วยทำให้ภาพวิชวลของพวกเขาแตกต่างจากพวกมนุษย์ “เอลฟ์เป็นพวกที่น่าสนใจครับ” เจเรมี ทัลบ็อท ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายตัวละครกล่าว “เราทุกคนต่างก็มีไอเดียว่าพวกเขาน่าจะดูเป็นยังไง แต่ภาพนั้นก็จะแตกต่างกันออกไปสำหรับพวกเราแต่ละคน แค่การคิดสีผิวของพวกเขาก็ทำให้เรามีตัวเลือกมากมายแล้ว ทั้งชมพู เขียว เหลือง ส้ม ม่วง ก่อนที่เราจะตกลงกันได้ที่สีฟ้าน่ะครับ”

                ผู้กำกับภาพชารอน คาลาฮัน, เอเอสซี กล่าวว่า อย่างไรก็ดี สีนี้ก็ทำให้การจัดแสงให้กับตัวละครเอลฟ์กลายเป็นเรื่องท้าทาย “ผิวสีฟ้ามีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างรุนแรงกับแหล่งกำเนิดแสงที่มีสีสัน” เธอกล่าว “เราต้องหาคำตอบว่าจะปรับตัวละครพวกนี้อย่างไรเพื่อรักษาเฉดสีฟ้าสวยๆ ให้กับพวกเขาได้น่ะค่ะ”

                แน่นอนว่าทีมผู้สร้างต้องการให้พวกเอลฟ์ให้ความรู้สึกที่สมจริงสำหรับผู้ชม ดังนั้น นักวาดภาพก็เลยทุ่มเทเวลาให้กับการครุ่นคิดถึงเรื่องการจัดแสง อนา ลาคาซ สมาชิกหลักของฝ่ายจัดแสงและปรับแต่งตัวละคร เล่าว่า ตามแบบฉบับของนักวาดภาพที่ใส่ใจในเรื่องรายละเอียดของพิกซาร์ พวกเขาจะต้องชี้เฉพาะลงไปว่าหูแบบเอลฟ์จะมีลักษณะอย่างไรเมื่อแสงส่องทะลุลงมา “เราตัดสินใจว่ามันน่าจะเป็นลุคที่อบอุ่น” เธอกล่าว “หลังจากทดลองตัวเลือกต่างๆ มันก็ให้ความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติ มีเสน่ห์และเข้าถึงได้มากขึ้นค่ะ”

                ศิลปินได้สร้างรูปปั้นของแต่ละสายพันธุ์เพื่อกำหนดว่าเอลฟ์จะมีที่ทางของโลกใบนี้ได้อย่างไร เมื่อพวกเขากำหนดในเรื่องของภาษาได้แล้ว พวกเขาก็จะได้เจาะลึกไปที่เอียน, บาร์ลียและลอเรล ไลท์ฟุ้ท ทัลบ็อทกล่าวว่า พวกเขาต้องการออกแบบพวกเอลฟ์ให้มีความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกันในฐานะสายพันธุ์ และทำให้แน่ใจว่าครอบครัวนี้จะมีลักษณะบางอย่างเหมือนๆ กัน “เราพบว่าถ้าเราเปลี่ยนแปลงตัวละครตัวหนึ่ง เราก็ต้องปรับอีกตัวหนึ่งด้วย ตัวผู้เป็นแม่ก็เลยมีความเป็นเอียนนิดๆ และบาร์ลีย์หน่อยๆ ในตัวเธอ การหาสมดุลที่เหมาะสมและวิธีที่พวกเขาจะใช้การได้เมื่ออยู่ด้วยกันเป็นเรื่องที่ลำบากอยู่ซักหน่อยครับ”

เอียน ไลท์ฟุ้ท

เอียน ไลท์ฟุ้ท เอลฟ์หนุ่มวัย 16 ปี โหยหาถึงพ่อที่เขาสูญเสียไปตั้งแต่ตอนเขาเกิด เอียนเป็นเด็กน่ารักที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจด้วยความปรารถนาดีที่สุด แต่การขาดความมั่นใจและความประหม่าของเขาก็ทำให้เขาพลาดอยู่บ่อยๆ เอียนเชื่อว่าถ้าเพียงแต่เขาจะได้รับคำแนะนำจากพ่อของเขา ชีวิตของเขาก็คงจะไม่ซับซ้อนและยุ่งเหยิงแบบนี้ “เอียนเป็นคนธรรมดาครับ” สแกนลอนกล่าว “เขาเก็บตัวนิดๆ เหมือนผม เขาเป็นเด็กที่ยึดหลักเหตุผลและสิ่งที่ปฏิบัติได้จริง เขาเข้าใจในโลกที่เขาอาศัยอยู่และอยากจะเข้ากับโลกใบนั้นได้ โดยเฉพาะในวัย 16 ปี เขาไม่อยากจะเปลี่ยนโลก เขาก็แค่อยากจะใช้ชีวิตอยู่โดยไม่มีใครสังเกตน่ะครับ”

                มือเขียนบทคีธ บูนิน ผู้เขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้ร่วมกับสแกนลอนและเจสัน ฮีดลีย์ เข้าใจความรู้สึกนั้นดี “ผมเข้าใจถึงความรู้สึกของเอียนว่าเหมือนแกะดำนิดๆ” เขากล่าว “ในฐานะที่ผมเป็นเด็กที่ชื่นชอบงานเขียนและหนัง ผมก็วนเวียนอยู่แต่กับเรื่องในหัวของตัวเอง ผมเข้าใจดีว่าเอียนหรือแม้กระทั่งบาร์ลีย์จะรู้สึกเหมือนอยู่ผิดที่ผิดทางในโลกของพวกเขาได้อย่างไร”

                ของขวัญที่ไม่คาดฝันจากพ่อของเขาในวันเกิดของเขาเป็นจุดเริ่มต้นการเดินทางสุดตื่นเต้นครั้งหนึ่งในชีวิต แต่เอียนก็ไม่มั่นใจว่าบาร์ลีย์ พี่ชายผู้หมกมุ่นกับเรื่องแฟนตาซีและขาดความเจียมตัวของเขาจะสามารถพาพวกเขาไปในที่ที่พวกเขาต้องการจะไปได้ สแกนลอนเล่าว่า แม้ว่าเอียนจะเป็นคนที่สามารถร่ายเวทมนตร์ได้ แต่บาร์ลีย์เป็นคนที่เข้าใจกลไกของมัน “ในที่สุด เอียนก็ตระหนักได้ว่าเขาสามารถใช้คาถาที่พ่อทิ้งเอาไว้ให้พวกเขาได้ แต่เขาก็ไม่เก่งพอที่จะใช้มันจนสำเร็จได้ บาร์ลีย์พยายามจะช่วย แต่เอียนก็กลัวว่าความช่วยเหลือของบาร์ลีย์มีแต่จะช่วยทำให้เรื่องราวต่างๆ เลวร้ายลงไป”

                สแกนลอนกล่าวว่า เวทมนตร์เป็นส่วนสำคัญของเรื่องราว แต่มันมีอะไรมากกว่าคาถาและเรื่องน่าตื่นตาตื่นใจ “เวทมนตร์เป็นคำที่ใช้เปรียบเทียบศักยภาพของพวกเขา” เขากล่าว “ในการใช้เวทมนตร์ คุณจะต้องเสี่ยง คุณจะต้องเชื่อในตัวเอง คุณจะต้องไว้ใจตัวเอง คุณจะต้องฟัง ไม่ว่าเอียนจะพยายามร่ายเวทมนตร์คาถาบทไหน เขาก็มักจะต้องถูกท้าทายในแบบที่ทำให้เขาเติบโตขึ้นครับ”

                ทอม ฮอลแลนด์ ให้เสียงพากย์ เอียน “เขาเป็นวัยรุ่นเงอะงะที่พยายามจะหาตัวเองในโลกเหลือเชื่อใบนี้ ที่พิกซาร์สร้างขึ้นอย่างวิเศษสุด” ฮอลแลนด์กล่าว “ผมชื่นชอบไอเดียในการสร้างโลกใหม่ๆ ที่มีตัวละครสุดโต่งที่เติบโตและเปลี่ยนแปลงไปน่ะครับ”

                สแกนลอนกล่าวว่า ฮอลแลนด์สามารถทำให้ตัวละครตัวนี้เป็นที่น่าชื่นชอบอย่างมากได้แม้ว่าในตอนแรกเอียนจะมีปัญหากับเรื่องความมั่นใจในตัวเองก็ตาม “ทอมมีเสน่ห์เย้ายวนและความจริงใจที่ทำให้คุณเอาใจช่วยเขาในทุกตัวละครที่เขาเล่นน่ะครับ” ผู้กำกับกล่าว

                ในตอนแรก ทีมผู้สร้างลำบากอยู่กับการหาลุคที่เหมาะสมสำหรับเอียน แมทท์ โนลเต้ ผู้กำกับศิลป์ฝ่ายตัวละคร ได้นำเสนอไอเดียหลายแบบ แต่สแกนลอนก็ยังไม่ยอมรับ จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นในตอนทที่โนลเต้บังเอิญเจอกับเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งในห้องโถงของพิกซาร์ “ผมไม่เคยพบกับเขาหรอก แต่เขามีเสน่ห์ดึงดูดใจที่เอียนของเรายังขาดอยู่ อากัปกิริยาของเขาเพอร์เฟ็กต์เลย เขาเป็นคนใจดีและจะซ่อนอยู่เบื้องหลังเสียงหัวเราะก่อนที่เขาจะพูด และผมก็คิดว่ามันเจ๋งไปเลย ภายหลัง ระหว่างที่ผมกับทีมศิลป์อยู่ในช่วงระดมความคิดกันอยู่ แค่นึกถึงการพบกันครั้งนั้นในหัวก็สร้างความแตกต่างได้แล้วล่ะครับ สิ่งที่แปลกก็คือตัวเลือกด้านรูปทรงส่วนใหญ่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป แต่มันมีจิตวิญญาณอย่างที่มันไม่เคยมีมาก่อนน่ะครับ”

Disney and Pixar’s Onward คู่ซ่าล่ามนต์มหัศจรรย์ 
5 มีนาคม ในโรงภาพยนตร์

                แอนิเมเตอร์ได้รับมอบหมายให้นำเสนอนิสัยที่เก็บเนื้อเก็บตัวของเอียน “เราอยากจะเก็บเขาให้อยู่ในเงาของตัวเอง” ร็อบ ดูเคว็ทท์ ธอมป์สัน ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายแอนิเมชั่นกล่าว “เอียนไม่ค่อยแสดงออกและกลัวโลกนิดๆ ดังนั้น ภาษาร่างกายของเขาก็จะรัดกุมกว่า แขนของเขาจะติดชิดกับตัวของเขา ส่วนเขาของเขาก็จะแยกออกแบบแคบๆ เขาเป็นคนร่างสูง และเราก็ทำให้เขาตัวเกร็งมากๆ ในตอนเริ่มต้น แต่เมื่อเขาเริ่มผ่อนคลาย เราก็ทำให้ขาของเขาแยกออกจากกันมากขึ้น เขามั่นใจมากขึ้นและรู้สึกสบายใจมากขึ้นกับการใช้พื้นที่รอบตัวมากขึ้นน่ะครับ”

                ฮอลแลนด์กล่าวว่า เอียนได้รับอะไรมากมายจากการออกผจญภัยเคียงข้างบาร์ลีย์มากกว่าที่เขาจินตนาการไว้เสียอีก “ผมคิดว่าเอียนได้เรียนรู้ว่าตัวเองจริงๆ แล้วเป็นใคร” เขากล่าว “เขาพัฒนาขึ้นในฐานะชายหนุ่ม เขาสามารถเริ่มต้นบทใหม่ในชีวิตเขาด้วยความมั่นใจและความน่าตื่นเต้นมากขึ้นได้แล้วน่ะครับ”

บาร์ลีย์ ไลท์ฟุ้ท เป็นเอลฟ์ร่างใหญ่ ผู้ร่าเริงวัย 19 ปี ผู้รักเวทมนตร์และหมกมุ่นอยู่กับการเล่นเกมแฟนตาซีบทบาทสมมติ เขาเป็นคนรักอิสรเสรี ผู้อาจจะให้ความสำคัญกับอดีตมากกว่าปัจจุบัน และเขาก็จะสู้ยิบตาเพื่อรักษาสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์เอาไว้ แต่ด้วยความที่เขาให้ความสนใจกับอดีตมากเหลือเกินนี่เอง เขาก็เลยดิ้นรนอยู่กับการหาความสำเร็จในปัจจุบัน เคลซีย์ แมนน์ หัวหน้าฝ่ายเรื่องราวกล่าวว่า “บาร์ลีย์ให้ความสนใจกับการเก็บเลเวลให้กับตัวละครของเขาในเกม Quests of Yore มากกว่าที่จะสนใจชีวิตตัวเอง ตัวละครของบาร์ลีย์อาจจะฆ่าสัตว์ร้ายได้ทุกตัวในเกม แต่ในชีวิตจริง เขาต้องดิ้นรนอยู่กับการรักษางานของตัวเองให้ได้ครับ”

                ในตอนที่พ่อผู้ล่วงลับไปแล้วของพวกเขาส่งให้พวกเขาออกเดินทางสู่การผจญภัยสุดอลังการด้วยกัน การผจญภัยที่เต็มไปด้วยปริศนาและเวทมนตร์ บาร์ลีย์ได้สตาร์ทเครื่องรถตู้ที่เขารักและไว้ใจได้มากที่สุด กิเนเวียร์ และไม่เคยมองย้อนหลังอีกเลย “บาร์ลีย์เตรียมตัวสำหรับช่วงเวลานี้มาทั้งชีวิตค่ะ” ผู้อำนวยการสร้างคอรี่ เรย์กล่าว “และเขาก็มั่นใจ อาจจะเกินไปด้วยซ้ำ ว่าเขาทำได้”

                คริส แพรตต์ช่วยเนรมิตชีวิตให้กับตัวละครร่างใหญ่ตัวนี้ในแบบที่ยิ่งใหญ่ “บาร์ลีย์เป็นคนเจ้ากี้เจ้าการครับ” แพรตต์ยอมรับ “และเขาก็พยายามมากเกินไปซักหน่อย เขาอาจเป็นคนงั่งที่พูดพล่ามไร้สาระ แต่เขาก็เป็นคนจิตใจดีครับ”

                แพรตต์กล่าวว่า กุญแจสำคัญสำหรับบาร์ลีย์คือแกนหลักทางอารมณ์ “แดน ผู้กำกับของเรา อยากให้ผมโฟกัสไปกับการทำความเข้าใจกับเรื่องราวของบาร์ลีย์และทำให้มันสมจริงที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ด้วยการวางมันบนพื้นฐานความเป็นจริงทางอารมณ์ครับ” แพรตต์กล่าว

                นักแสดงหนุ่มกล่าวว่า เขาเองก็เข้าใจถึงความรักที่บาร์ลีย์มีต่อเรื่องราวแฟนตาซีได้ “สมัยเด็ก ผมชอบเรื่องแฟนตาซีครับ” เขากล่าว “ผมมีหนังสือเกี่ยวกับวัฒนธรรมคนแคระ อาวุธและสังคมของพวกเขา มันมีภาพประกอบสวยๆ และสมัยเด็ก ผมก็ชอบวาดรูปมาก ผมก็เลยชื่นชอบการวาดเลียนแบบภาพต่างๆ ผมชื่นชอบลุคของตัวละครแฟนตาซีมาโดยตลอด ทั้งเอลฟ์ คนแคระ ยักษ์และพ่อมดน่ะครับ”

                และในขณะที่การนำเสนอของแบรตต์ได้เนรมิตชีวิตให้กับตัวละครตัวนี้ เขาก็ยังได้นำบางสิ่งมาสู่บาร์ลีย์ ซึ่งติดตรึงใจมือลำดับภาพ แคทเธอรีน แอปเปิลด้วยเช่นกัน “มันคือเสียงหัวเราะของเขาค่ะ” เธอกล่าว “เขาหัวเราะในลักษณะต่างๆ กัน อารมณ์ส่วนมากของเขามีรากฐานมาจากวิธีหัวเราะของเขาค่ะ”

                แมทท์ โนลเต้ ผู้กำกับศิลป์ฝ่ายตัวละครมีข้อได้เปรียบเรื่องของการทำความเข้าใจกับนิสัยของบาร์ลีย์ “ผมมีพี่ชายที่เป็นตัวขำขันประจำครอบครัว” โนลเต้กล่าว “เขาเป็นคนแบบที่ดึงดูดความสนใจในตอนที่เขาเดินเข้าไปในห้อง ทั้งเป็นมิตรและเอาใจใส่มากๆ และผมก็มองเห็นพี่ชายผมในตัวบาร์ลีย์ นอกเหนือจากนั้น พี่ชายผมยังชอบร็อคแอนด์โรลล์เหมือนกับบาร์ลีย์ด้วย”

                นักออกแบบตัวละครได้เพิ่มตอหนวดให้กับบาร์ลีย์เพื่อให้ดูออกตั้งแต่แวบแรกว่าเขาเป็นพี่ชาย แต่พวกเขาก็ต้องใช้เวลาพักหนึ่งกว่าจะหาลุคที่เหมาะสมได้ “เราปรับเคราของเขาเล็กน้อย” อนา ลาคาซ ทีมงานหลักฝ่ายให้เงาและปรับแต่งตัวละครกล่าว “ถ้ามันไม่ให้ความรู้สึกเต็มเกินไป มันก็ทำให้เขาดูแก่เกินไปหรือกระเซอะกระเซิงเกินไป นอกจากนั้น เรายังเติมกระที่เข้มขึ้นเล็กน้อยให้กับเขาในขณะที่กระของเอียนจะสีอ่อนกว่าและดูอ่อนเยาว์กว่าค่ะ”

                ไมเคิล สต็อคเกอร์ ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายแอนิเมชั่นกล่าวว่า นิสัยเพี้ยนๆ และบ้าบอของบาร์ลีย์ถูกแสดงออกมาในลักษณะการเคลื่อนไหวของเขา “บาร์ลีย์เป็นคนไหลตามน้ำครับ” สต็อคเกอร์กล่าว “เขาใช้ชีวิตอยู่ในชั่วขณะนั้น และเขาก็เป็นคนชอบเสี่ยง บางที มันอาจจะได้ผลหรือบางทีอาจจะไม่ได้ผล แต่บาร์ลีย์ก็จะทดลองดูครับ!

                “มันแสดงออกมาในการเคลื่อนไหวที่เอะอะมะเทิ่งของเขา” สต็อคเกอร์กล่าว “เขาไม่แคร์ว่าใครจะคิดอะไรเกี่ยวกับเขา ผมชอบนิสัยนั้นของบาร์ลีย์ครับ”

ลอเรล ไลท์ฟุ้ท (แม่)

ลอเรล ไลท์ฟุ้ท (แม่) เป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวผู้ทุ่มเท ทำงานหนักและช่างเหน็บแนม ผู้ทุ่มสุดตัวให้กับทุกอย่างที่เธอทำ ลอเรลสูญเสียสามีตัวเองไปเมื่อหลายปีก่อน แต่แรงขับเคลื่อนและความมุ่งมั่นตั้งใจก็ช่วยให้เธอเอาชนะอุปสรรคและทำให้เธอใช้ชีวิตกับเอียนและบาร์ลีย์ ลูกชายสุดที่รักของเธออย่างดีที่สุด “พรสวรรค์ที่แท้จริงของเธออยู่ที่ว่าเธอดูแลลูกชายทั้งสองคนได้อย่างน่าทึ่งตามแบบที่พวกเขาต้องการ แม้ว่าพวกเขาจะแตกต่างกันมากแค่ไหนก็ตาม” ผู้อำนวยการสร้างคอรี่ เรย์กล่าว “เธออาจจะแข็งกร้าวและเพี้ยนแบบบาร์ลีย์ หรืออาจจะอ่อนไหวและเงียบขรึมกับเอียนก็ได้”

                เจเรมี ทัลบ็อท ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายตัวละครกล่าวว่า ความผูกพันระหว่างลอเรลและลูกชายของเธอถูกสะท้อนออกมาให้เห็นในรูปลักษณ์ของเธอ “เธอมีรูปร่างเหมือนอย่างบาร์ลีย์นิดๆ และมีผมตรงๆ แบบเขา แต่เธอมีกระสีชมพูแบบเอียนครับ”

                ในตอนที่พวกเด็กๆ ก้าวสู่การผจญภัยที่อาจเป็นอันตรายได้ ลอเรลก็จะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องพวกเขา แม้ว่านั่นหมายถึงการต้องออกเดินทางที่เสี่ยงอันตรายด้วยตัวเองก็ตาม “เธออาจเป็นคนที่ร่าเริง เข้มแข็งและตลกได้ แต่เธอก็อ่อนไหวและน่ารักด้วย” เรย์กล่าว “จูเลีย หลุยส์-ดรายฟัสเหมาะกับบทนี้จริงๆ ค่ะ”

                สแกนลอนเห็นพ้องด้วย “ไม่มีใครตลกกว่าจูเลียอีกแล้วครับ” เขากล่าว “นอกจากนั้น เธอยังใส่ความอบอุ่นและความน่ารักลงไปให้กับตัวละครของเธอด้วย”

                หลุยส์-ดรายฟัส คุณแม่ของลูกชายสองคน เข้าใจตัวตนของลอเรลในทันที “ลูกๆ ฉันไม่ใช่วัยรุ่นอีกต่อไปแล้ว แต่พวกเขาก็เคยมีอายุเท่านั้นมาก่อน” เธอกล่าว “ฉันชอบทุกวินาทีของมัน แม้แต่ตอนที่มันยากลำบาก ฉันรู้สึกเหมือนว่าฉันมีอะไรๆ เหมือนกับลอเรล แน่นอนค่ะว่าเธอเองก็รู้สึกหงุดหงิด ทำไมจะไม่ล่ะคะ แต่โดยพื้นฐานแล้ว สายสัมพันธ์ระหว่างเธอกับลูกๆ ทั้งสองก็ทั้งแน่นแฟ้นและแข็งแกร่ง แน่นอนค่ะฉันเข้าใจความรู้สึกนั้นได้”

                มือลำดับภาพแคทเธอรีน แอปเปิลเองก็รู้สึกถึงสายสัมพันธ์ระหว่างเธอกับลอเรลเช่นกัน “ฉันเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวมาหลายปีและฉันก็รู้ว่าการเลี้ยงดูลูกชายโดยไม่มีพ่อเป็นยังไง ฉันก็เลยเข้าใจความรู้สึกของลอเรล แต่ฉันก็ยังเข้าใจเอียนผ่านทางลูกชายของฉันด้วย มันมีความสงสัยใคร่รู้และความว่างเปล่าที่เกิดขึ้นในตอนที่คุณไม่มีพ่อน่ะค่ะ”

                แมดเดอลิน ชาราเฟียน สมาชิกหลักทีมเรื่องราวกล่าวว่า คุณแม่ได้เห็นลูกชายที่ขี้อายและเงอะงะของเธอเติบโตขึ้นจากการผจญภัยครั้งนี้ “เธอมักมองว่าเอียนเป็นคนที่ต้องการการคุ้มครองมากกว่า” ชาราเฟียนกล่าว “แต่เธอก็ได้เห็นเขาเติบโตขึ้น และได้ค้นพบว่าเขาเป็นมากกว่าที่เขาคิดว่าตัวเองเป็นค่ะ”

วิลเดน ไลท์ฟุ้ท (พ่อ) เป็นพ่อที่ล่วงลับไปแล้วของบาร์ลีย์และเอียน พ่อ ผู้ฉลาด มั่นใจและมุ่งมั่น ได้ค้นพบวิธีสุดวิเศษและสร้างสรรค์ในการติดต่อกับลูกชายตัวเองหลังจากที่เขาจากไปแล้วเป็นเวลานาน ไม้เท้าเก่าแก่และเวทมนตร์คาถาได้เผยถึงแผนการของพ่อที่ทำให้เอียนและบาร์ลีย์สามารถเรียกตัวเขามาได้เป็นเวลา 24 ชั่วโมง แต่ปรากฏว่า เวทมนตร์ไม่ได้เป็นศาสตร์ที่สมบูรณ์แบบ และพวกหนุ่มๆ ก็พาพ่อของพวกเขากลับมาได้เพียงครึ่งร่างท่อนล่างเท่านั้น ในการร่ายคาถาครั้งแรก และครึ่งล่างนั้นก็ออกผจญภัยร่วมกับพวกเขาเพื่อตามหาอัญมณีฟินิกซ์เพื่อทำให้เรียกตัวพ่อของพวกเขาออกมาได้อย่างสมบูรณ์ก่อนที่เวลาจะหมด

                สแกนลอนกล่าวว่า “เราได้แต่ถามว่า ‘เราจะให้สองพี่น้องคู่นี้ได้เห็นพ่อแบบแวบๆ โดยไม่ได้พบเขาในทันทีได้ยังไง’ นั่นคือที่มาของไอเดียในการสร้างครึ่งร่างของพ่อขึ้นมา มันเหมือนกับข้อความในเทปที่ฉันได้รับจากพ่อของฉัน มันเป็นเหมือนกลิ่นไอเล็กๆ ของคนๆ นั้น และมันก็ทำให้คุณอยากสัมผัสมันมากขึ้นครับ”

                ตอนแรก ทีมผู้สร้างวางแผนที่จะให้คุณพ่อปรากฏตัวแบบชิ้นส่วน “ทุกครั้งที่พวกหนุ่มๆ พบเงื่อนงำ พวกเขาก็จะได้อีกชิ้นส่วนหนึ่งของพ่อ เท้าของเขา ขาของเขา” สแกนลอนกล่าว “แต่การให้พวกหนุ่มๆ ร่ายคาถาผิดพลาดทำให้เอียนรู้สึกผิด ซึ่งสอดคล้องไปกับนิสัยของเขา ที่เป็นเด็กที่ตั้งคำถามและเคลือบแคลงในตัวเอง และตอนนี้ เขาก็มีกางเกงไร้เสียงที่น่าเศร้าที่เตือนให้เขานึกถึงความผิดพลาดของตัวเอง ในขณะเดียวกัน เวอร์ชันที่ตลกขบขันและงุ่มง่ามของตัวละครตัวนี้ก็ช่วยลดทอนความหนักอึ้งของเรื่องราวที่คุณอยากจะพบกับพ่อที่ล่วงลับไปแล้วน่ะครับ”

                แต่การหาคำตอบว่าจะสร้างและทำภาพแอนิเมชั่นกางเกงตัวหนึ่งขึ้นมาอย่างไรก็เป็นเรื่องท้าทาย ทีมผู้สร้างตัดสินใจว่าพวกเขาต้องการจะเห็นว่าขามนุษย์คู่หนึ่งจริงๆ แล้วเป็นอย่างไร พวกเขาก็เลยสร้างฟุตเตจอ้างอิงของตัวเองขึ้นมา “เราสวมชุดรัดรูปสีเขียว กางเกงขายาวและรองเท้า และเต้นไปรอบๆ สเตจโมแคป” เจเรมี ทัลบ็อท ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายตัวละครกล่าว “เราเอาผ้ามัดปิดตาตัวเองและมัดแขนตัวเองไว้ด้านหลังเพื่อที่เราจะได้ล้มลุกคลุกคลานตอนที่เราพยายามปีนขึ้นไปบนกล่อง หลังจากนั้น เราก็ลบร่างกายท่อนบนของเราออกไปด้วยเทคนิคหนังเพื่อที่เราจะได้โฟกัสกันแต่ส่วนกางเกงครับ”

                นอกจากนั้น เท้าของพ่อก็มีบทบาทสำคัญในภาพยนตร์เรื่องนี้เช่นกัน “ฉากการที่เท้าเต้นระบำอยู่ในหนังตั้งแต่เริ่มแรกแล้วครับ” ทัลบ็อทกล่าว “เราพยายามอย่างมากที่จะทำให้รองเท้าของพ่อดูดีเวลาขยับเข้าไปใกล้ พวกมันจะดูเหมือนรองเท้าหนัง กางเกง ข้อเท้าและรองเท้าของเขา ทุกอย่างล้วนแล้วแต่มีรูปทรงที่ดึงดูดใจครับ”

                ทีมเรื่องราวได้ใส่ร่างกายส่วนบนแบบชั่วคราวสำหรับผู้เป็นพ่อเข้าไปในเรื่องราว “ขาคู่หนึ่งเป็นอะไรที่น่าตกตะลึง แม้แต่ในโลกใบนี้ก็ตามค่ะ” แมดเดอลิน ชาราเฟียน สมาชิกหลักของทีมเรื่องราวกล่าว “ดังนั้น เอียนก็เลยเอาของยัดเข้าไปในเสื้อวิลโลว์เดลตัวเก่าของพ่อ หาแว่นตาและหมวกแบบคนขับรถบรรทุกให้เขา มันทำให้สิ่งต่างๆ ให้ความรู้สึกสิ้นหวังมากขึ้น เหมือนกับว่า ‘เราจะปล่อยเขาไว้แบบนี้ไม่ได้’ แล้วมันก็ยังทำให้ตัวพ่อเองอยู่ในช็อตถ้าเขามีร่างกายครึ่งท่อนบนน่ะค่ะ”

                อย่างไรก็ดี การสร้างลุคนั้นขึ้นมาจะต้องอาศัยความร่วมมือกันระหว่างหลายแผนก เอ็มรอน โกรเวอร์ สมาชิกหลักทีมจัดหาเสื้อผ้าให้กับตัวละครกล่าวว่า “พ่อและร่างกายท่อนบนของเขาเป็นเครื่องแต่งกายที่มีเทคนิคซับซ้อนที่สุดเท่าที่เราเคยทำกันมาที่พิกซาร์ เรามีกฎเกณฑ์มากมายที่ต้องคำนึงถึงในตอนสร้างครึ่งท่อนบนของพ่อ คือมันจะต้องตลก ดึงดูดใจ เป็นไปได้ทางกายภาพ ดูเหมือนคนเมื่อมองแวบแรก ทำตัวเหมือนคนปกติในบางครั้ง แต่ก็ทำตัวเหมือนเป็นกองเสื้อผ้าได้ด้วยน่ะครับ”

                “มันเป็นเรื่องที่ท้าทายทางเทคนิคอย่างเหลือเชื่อ” โล ฮาโม-ลัดจ์ สมาชิกหลักทีมสร้างโมเดลตัวละครกล่าวเสริม “ครึ่งบนของตัวละครทำจากเสื้อผ้าทั้งหมด เราก็เลยทำการเก็บข้อมูลมากมาย ด้วยการสร้างหุ่นจำลองขึ้นจากเสื้อแจ็คเก็ตยัดนุ่นและสะบัดมันไปมาพร้อมกับถ่ายภาพเพื่อใช้อ้างอิงไปด้วย เรามองหาเรื่องบังเอิญดีๆ เช่นการเคลื่อนไหวอย่างเป็นธรรมชาติที่จะมองได้ว่าแสดงอารมณ์บางอย่างออกมา แอนิเมชั่นต้องอาศัยการควบคุมเหนือการแสดง แต่ส่วนสำคัญของการแสดงนั้นคือการให้ความรู้สึกว่าอ่อนเปลี้ยและไร้ชีวิตน่ะครับ ผลลัพธ์คือเทคโนโลยีใหม่บางอย่างที่ทำให้เกิดการผสมผสานระหว่างผลงานจากแผนกทั้งสอง และกระบวนการที่เราไม่เคยมีมาก่อน”

                จาค็อบ บรู๊คส์ ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายซิมูเลชั่น กล่าวว่า ตัวละครพ่อเป็นงานชิ้นใหญ่ที่สุดสำหรับทีมงานของเขา “เขามีครึ่งท่อนบนเป็นหมอนนุ่มฟูครับ” บรู๊คส์พูดถึงตัวละครตัวนี้ “การสร้างภาพซิลูเมชันของเลเยอร์อ่อนนุ่มเป็นเรื่องยากเสมอ ในการทำให้ตัวเขาซ้อนทับกันอย่างเหมาะสมและเคลื่อนไหวเหมือนอย่างตุ๊กตา เราใช้เวลาอยู่นานในการปรับค่าทางกายภาพเพื่อทำให้เขาให้ความรู้สึกที่อ่อนเปลี้ยแต่ก็มีน้ำหนัก เราได้ทำงานกับแอนิเมชั่นเพื่อทำให้แน่ใจว่าช่วงเวลาตลกๆ ของเขาน่ะทั้งน่าเชื่อและจับต้องได้ครับ”

                ช่างเทคนิคได้สร้างระบบที่ทำให้แอนิเมชั่นสามารถสร้างท่วงท่าสำคัญๆ ของตัวละครขึ้นมาได้ภายใต้กฎฟิสิกส์ของตุ๊กตา บรู๊คส์กล่าวว่า เป้าหมายคือการ “ทำให้เขาออกท่าทางในแบบที่ผ่านการกำกับศิลป์มาแล้ว”

                แล้วก็มีเรื่องของกางเกง ที่ต้องอาศัยการทำงานอย่างมหัศจรรย์ด้ววย วินเซนต์ เซอร์ริเทลลา ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายเอฟเฟ็กต์กล่าวว่า ทีมงานของเขาได้รับมอบหมายให้หาคำตอบว่ามันจะออกมามีหน้าตาอย่างไร “ด้านในมันกลวงรึเปล่า” เซอร์ริเทลลาตั้งคำถาม “เราจะเห็นอะไรถ้ากล้องสูงกว่าระดับเอว มันจะต้องเป็นรายละเอียดที่เล็กน้อยพอที่คุณจะรู้ว่า มีการเคลื่อนไหวบางอย่างอยู่ตรงนั้น แต่เราก็ไม่อยากจะให้มันทำให้คุณไขว้เขวจากเรื่องราวครับ”

                สำหรับผู้กำกับภาพ ชารอน คาลาฮัน, เอเอสซี ตัวพ่อจะใช้สีหนึ่งที่เฉพาะเจาะจง “มีการให้แสงหลักๆ สองครั้งในหนังเรื่องนี้ที่ใช้สีม่วงเพื่อระลึกถึงผู้เป็นพ่อ ผู้มีถุงเท้าสีม่วงค่ะ” เธอกล่าว “นอกเหนือจากตรงนั้น เราก็จงใจหลีกเลี่ยงการใช้สีนี้”

                ไคล์ บอร์นเฮเมอร์ พากย์เสียง พ่อ

แมนติคอร์ (คอรี่) มีอายุอย่างน้อยที่สุดก็พันปี แต่นั่นก็เป็นแค่วัยกลางคนสำหรับเผ่าพันธุ์ของเธอ แมนติคอร์ ที่เป็นส่วนผสมของสิงโต ค้างคาวและแมงป่อง เคยเป็นนักรบผู้ไม่กริ่งเกรงต่อสิ่งใด และเป็นเจ้าของร้านอาหารที่มืดหม่นและลึกลับ ที่เป็นสถานีต้นทางสำหรับนักเดินทางที่ออกผจญภัย แต่เมื่อสิ่งอำนวยความสะดวกสมัยใหม่มาแทนที่เวทมนตร์และความจำเป็นในการออกผจญภัย แมนติคอร์ที่ยึดหลักการของสิ่งที่ใช้ประโยชน์ได้จริง ได้เปลี่ยนร้านอาหารของเธอให้กลายเป็นร้านอาหารสำหรับครอบครัว ที่เต็มไปด้วยเกมสำหรับครอบครัวและอาหารทอด เธออาจจะไม่รู้ตัวหรอก แต่จิตวิญญาณรักการผจญภัยของเธอก็ยังคงซุ่มซ่อนภายในตัวเธอ

                ผู้อำนวยการสร้างคอรี่ เรย์กล่าวว่า บาร์ลีย์และเอียนไปหาแมนติคอร์เพื่อหาแผนที่ที่จะนำพวกเขาไปสู่อัญมณีฟินิกซ์ ซึ่งเป็นอัญมณีชิ้นที่สองที่จะทำให้พวกเขาสามารถร่ายคาถาที่จะนำพ่อของพวกเขากลับคืนมาได้อย่างสมบูรณ์ “บาร์ลีย์รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับแมนติคอร์จากการเล่นเกมแฟนตาซีอิงประวัติศาสตร์ที่ชื่อ Quests of Yore ค่ะ” เธอกล่าว “พวกเขาก็เลยคาดหวังว่าจะได้เจอกับนักรบที่น่าทึ่ง แต่พวกเขากลับได้พบกับคอรี่ เจ้าของร้านอาหารที่ทำงานหนักและเคร่งเครียดแทน”

                อ๊อคเทเวีย สเปนเซอร์ได้ถูกเรียกตัวให้ช่วยเนรมิตชีวิตให้กับแมนติคอร์ “อ๊อคเทเวียทำได้ทุกอย่างค่ะ” เรย์กล่าว “เราตื่นเต้นเป็นพิเศษกับมิติและอารมณ์ขันที่เธอใส่ให้กับตัวละครของเธอค่ะ”

                สเปนเซอร์กล่าวว่า แมนติคอร์ได้ก้าวข้ามชีวิตในฐานะนักรบของเธอไปแล้ว แต่เธอก็ไม่ได้ตระหนักถึงผลกระทบของมันหรอก สเปนเซอร์กล่าวว่า “เธอไม่ได้กล้าหาญเหมือนแต่ก่อน แต่การผจญภัยครั้งนี้ทำให้เธอสามารถกลับไปหานักรบที่อยู่ภายในตัวเธอได้อีกครั้ง”

                เอ็มรอน โกรเวอร์ สมาชิกหลักทีมปรับแต่งตัวละครกล่าวว่า เครื่องแบบของคอรี่ช่วยสร้างลักษณะเด่นให้กับตัวละครตัวนี้ในตอนที่เธอถูกแนะนำ “ชุดเปิดตัวของเธอถูกออกแบบมาเพื่อบ่งบอกถึงนิสัยของเธอว่าเป็นพวกเก็บกด ถูกควบคุม” เขากล่าว “มันรัดรูป เสื้อถูกยัดเข้าไปในกางเกงและติดกระดุมทุกเม็ด”

                ไมเคิล สต็อคเกอร์ ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายแอนิเมชั่นกล่าวว่า พวกแอนิเมเตอร์เลือกใช้เครื่องแบบที่น่าอึดอัดให้กับคอรี่ในตอนสร้างแอนิเมชั่นตัวละครตัวนี้ก่อนที่เธอจะเผยความเป็นนักรบออกมา “เธอสวมรองเท้าส้นสูง” สต็อคเกอร์กล่าว “เธอก็เลยก้าวได้สั้นๆ และล้มลุกคลุกคลานบ่อยๆ ในตอนที่เธอสลัดรองเท้าส้นสูงทิ้ง มันก็ต่างออกไปโดยสิ้นเชิงครับ”

                ทีมซิมูเลชั่นเจอกับงานหนักสำหรับแมนติคอร์ ในตอนที่ชุดที่ติดกระดุมทุกเม็ดของเธอถูกปลดกระดุมออก เครื่องแบบของเธอจะต้องดูรัดรูปแต่ก็ให้ความรู้สึกเหมือนผ้า และสภาพของเสื้อผ้าชุดนี้ก็เปลี่ยนแปลงไปหลายครั้ง รวมถึงฉากที่เธอกระชากแขนเสื้อตัวเองออก มันเป็นฉากที่ซับซ้อนสำหรับทีมซิมูเลชั่น จาค็อบ บรู๊คส์ ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายซิมูเลชั่นกล่าวว่า ผมของแมนติคอร์เองก็เป็นเรื่องท้าทายเช่นกัน “การแปลงโฉมของเธอมีการแตกตัวของทรงผม ที่เปลี่ยนจากการม้วนมวยผมตึงเปรี๊ยะไปเป็นทรงผมฟูฟ่องครับ”

                เครื่องมือที่มีชื่อว่า เปเล ถูกใช้เพื่อรับมือกับเส้นผมของตัวละครตัวนี้ในช่วงการแปลงโฉมและหลังจากนั้น ซึ่งรวมถึงฉากที่เธอเบียดตัวเข้าไปในรถคันจิ๋ว ก่อนจะโบยบินในภายหลัง

                ด้วยทรงผมฟูฟ่อง ปีกขนาดใหญ่และหางแมงป่อง แมนติคอร์ทำให้แอนิเมเตอร์มีงานทำมากมาย ซึ่งเป็นทั้งข้อดีและข้อเสีย “เธอตัวใหญ่ค่ะ” หัวหน้าแอนิเมเตอร์ เจสสิกา ตอร์เรสกล่าว “เธอมีขาแบบดิจิติเกรด ซึ่งหมายถึงเธอสามารถยืนบนหัวนิ้วเท้าได้ คล้ายกับขาหลังของสัตว์สี่เท้าชนิดอื่นๆ เราต้องทำงานหนักน่าดูเพื่อหาท่าโพสที่จะโชว์ปีกและหางของเธอ โดยไม่ดึงความสนใจไปจากการแสดงและอารมณ์น่ะค่ะ”

                สำหรับทีมให้แสง ตัวละครตัวนี้เป็นตัวแทนของโอกาส “เธอเป็นตัวละครที่ยอดเยี่ยม” ชารู คลาร์ค สมาชิกหลักของทีมฝ่ายให้แสงกล่าว “เธอเปลี่ยนจากการเป็นคนติ๋มๆ เรียบร้อยไปเป็นคนดุดัน ป่าเถื่อน และในทั้งสองกรณี เราก็สามารถเล่นกับแสงได้อย่างลงรายละเอียด ไม่ว่าจะเป็นผม รอยสักที่น่าตื่นตาตื่นใจ หรือสไตล์ของเธอตอนอยู่ร้านอาหาร เราชั่งน้ำหนักว่าเราอยากจะดึงความสนใจมาสู่รายละเอียดพวกนี้มากน้อยแค่ไหนเพื่อสนับสนุนเรื่องราวในชั่วขณะนั้น และปีกของเธอก็ดูสวยงามเมื่อมีแสงส่องมาจากด้านหลัง”

                เมื่อเผยโฉมออกมาเต็มตัวแล้ว แมนติคอร์ก็ได้ร่วมมือกับลอเรล ไลท์ฟุ้ทในการตามหาพวกหนุ่มๆ เพื่อเตือนพวกเขาถึงอันตรายที่รอพวกเขาอยู่ การผจญภัยภายในการผจญภัยครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงตัวตนที่แท้จริงของผู้หญิงทั้งคู่ “เวลาอยู่ด้วยกัน พวกเธอตลกมาก” สเปนเซอร์กล่าว “แต่ลึกลงไปแล้ว คอรี่เป็นนักรบที่พบความเข้มแข็งของตัวเองอีกครั้ง และฉันคิดว่าหลายๆ คนก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน บางครั้ง เราหลงทางไป หรือทำตัวเฉยชา และเราก็ต้องการการผจญภัยซักรูปแบบหนึ่งมาช่วยจุดประกายความมีชีวิตชีวาในชีวิตของเราอีกครั้งค่ะ”

เจ้าหน้าที่โคลท์ บรองโก้ ทำตามกฎระเบียบและคาดหวังอย่างจริงใจว่าคนที่อยู่รอบตัวเขาจะเคารพในเจ้าหน้าที่บ้านเมืองเหมือนอย่างเขา โคลท์ ครึ่งม้าครึ่งคน เป็นคนที่แข็งแกร่ง มีความหนักแน่น แต่เขาไม่เคยรับรู้ถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นหลังจากที่เขาเดินคล้อยหลังไป ในฐานะคนที่ตามจีบลอเรล ไลท์ฟุ้ท เขาเห็นคุณค่าความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเธอและอยากจะสร้างสายสัมพันธ์กับเอียนและบาร์ลีย์ ลูกๆ ของเธอ “โคลท์เป็นตำรวจ แต่เขาก็มีจุดอ่อนอยู่เหมือนกัน” ผู้อำนวยการสร้างคอรี่ เรย์กล่าว “เขาเป็นคนที่ไว้ใจได้ค่ะ”

                แต่ด้วยความที่พวกเขาเป็นวัยรุ่น พวกหนุ่มๆ ก็เลยไม่ค่อยปลื้มกับโอกาสที่จะได้ผูกสัมพันธ์กับเขาซักเท่าไหร่ “การมีผู้ชายที่เป็นผู้ใหญ่อยู่ในบ้านของพวกเขาเป็นประจำไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาเคยประสบมาก่อน” ผู้กำกับแดน สแกนลอนกล่าว

                เมล โรดริเกซได้รับเลือกให้พากย์เสียง โคลท์ บรองโก้ “เรารู้ว่าเราต้องการคนที่จะทำให้โคลท์ให้ความรู้สึกกล้าหาญแบบทหาร แต่ภายในอ่อนหวานมากๆ ได้” เรย์กล่าว “เมลสามารถพูดในสิ่งที่เคร่งเครยีด แต่ความอ่อนหวานจะแผ่ซ่านออกมาในคุณภาพเสียงของเขาค่ะ”

                ผู้กำกับแอนิเมเตอร์ เจสสิกา ตอร์เรส ได้ใช้ประโยชน์จากแบ็คกราวน์ของเธอกับม้าในงานนี้ด้วย ตอร์เรส ผู้ได้รับมอบหมายให้สร้างแอนิเมชั่นของแองกัสสำหรับ “Brave” ได้เรียนขี่ม้าเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์และได้ซื้อม้าของตัวเองในภายหลังด้วย “การมีแบ็คกราวน์นั้นกับม้าเป็นประโยชน์ในแง่ของการติดตั้งกลไกของโคลท์กับทีมตัวละครค่ะ” เธอกล่าว “เราอยากให้ลักษณะทางกายภาพของเขาเหมือนกับม้างานมากกว่าม้าอาระเบียน โคลท์จะมีเชื่องช้ากว่าค่ะ”

                ในฐานะเซนทอร์ ตัวละครตัวนี้ก็เลยมีหลังสองแบบ หน้าอกสองแบบและท้องสองแบบ ซึ่งกลายเป็นความท้าทายที่ไม่เหมือนใคร นอกจากนั้น ตอร์เรสยังกล่าวด้วยว่า โคลท์มีแขนและมือ ซึ่งกลายเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นในตอนที่ตัวละครสี่ขาตัวนี้ออกวิ่ง ดังนั้น แอนิเมเตอร์ก็เลยตัดสินใจมองตัวละครตัวนี้ว่าเหมือนกับนักขี่ม้าที่กำลังอยู่บนหลังม้า “มือของเขาจะทำท่าเหมือนกับว่ากำลังกุมบังเหียนอยู่ระหว่างวิ่งน่ะค่ะ” ตอร์เรสกล่าว

เจ้าหน้าที่สเป็คเตอร์ เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้เคร่งครัด จริงจัง ไซคล็อปส์ผู้นี้มีสายตาที่เฉียบคมในการมองเห็นปัญหา ซึ่งช่วยให้เธอทำงานของเธอได้อย่างยอดเยี่ยม “เธอจริงจังค่ะ” ผู้กำกับแอนิเมเตอร์ อัลลิสัน รูทแลนด์กล่าว “การเคลื่อนไหวของเธอจะถูกควบคุมให้เป็นการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยที่บ่งบอกถึงพลังค่ะ”

                อย่างไรก็ดี ภายใต้เปลือกนอกที่แข็งกระด้างของสเป็คเตอร์คือแง่มุมที่อ่อนโยนที่สเป็คเตอร์จะเผยออกมาในสถานการณ์พิเศษเท่านั้น ลีนา เว็ธ พากย์เสียง เจ้าหน้าที่สเป็คเตอร์

เจ้าหน้าที่กอร์เป็นเซเทอร์ตัวเตี้ย ซุ่มซ่าม ผู้ค่อนข้างมั่นใจว่าตัวเองเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในกลุ่ม เธอเชื่อในเรื่องของความเห็นมากกว่าข้อเท็จจริง และน่าเศร้าที่เธอก็เต็มไปด้วยความคิดเห็น รูทแลนด์กล่าวว่า “เจ้าหน้าที่กอร์เป็นพวกคุยโวมากกว่าน่ะค่ะ เธอพูดโดยไม่ทันคิด ดังนั้น การเคลื่อนไหวของเธอก็เลยจะเอะอะมะเทิ่งใหญ่โต”

                อาลี หว่อง พากย์เสียง เจ้าหน้าที่กอร์

เกร็คลิน เป็นเจ้าของโรงรับจำนำในนิว มัชรูมตัน ที่ซึ่งตัวละครสารพัดแบบมาจับจ่ายซื้อหาสมบัติที่ซุกซ่อนอยู่ เกร็คลินเหมือนกับเจ้าของธุรกิจทุกคนที่อยากจะกอบโกยผลกำไรให้ได้มากที่สุด แต่วิธีของเธอในการเพิ่มยอดขายก็ไม่ได้เป็นที่ปลาบปลื้มเสมอไป “เราอยากจะเล่นกับความน่าขนลุกของเธอครับ” ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายแอนิเมชั่น ไมเคิล สต็อคเกอร์กล่าว “เธอมีเท้าแบบกิ้งก่า และเราก็ใส่ลิ้นกิ้งก่าของเธอเข้าไปในการแสดงด้วย”

                เทรซีย์ อัลล์แมน พากย์เสียง เกร็คลิน “เทรซีย์อ่านบทได้อย่างยอดเยี่ยม” สต็อคเกอร์กล่าว “เธอได้เสริมเสียงคำรามและการทำเสียงในลำคอพิลึกๆ เข้าไป ซึ่งสนุกจริงๆ ครับ”

แก็กซ์ตัน เป็นเพื่อนสมัยมหาวิทยาลัยของพ่อผู้ล่วงลับไปแล้วของเอียนและบาร์ลีย์ ตอนที่เขาเล่าให้เอียนฟังว่าพ่อเขาเจ๋งแค่ไหน ไปจนถึงเรื่องของถุงเท้าสีม่วงสดของเขา เอียนไม่เพียงแต่โหยหาพ่อของเขา เขายังหวังว่าตัวเองจะเป็นเหมือนพ่อด้วย วิลเมอร์ วัลเดอร์รามา พากย์เสียง แก็กซ์ตัน

                ดิวดร็อป เป็นหัวหน้าผู้ดุดันของชมรมมอเตอร์ไซค์ พิกซี ดัสเตอร์ส เธอแข็งแกร่งและไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับใครก็ตามที่มองหาเรื่องเธอ ถนนหลวงคือจุดหมายที่ดิวดร็อปเลือกเอาไว้ เว้นแต่เธอจะต้องแวะพักที่ร้านสะดวกซื้อที่ใกล้ที่สุดเพื่อซื้อขนมให้กับตัวเองและลูกน้องเสียก่อน “นางไม้ตัวเล็กจิ๋ว แต่มีรัศมีที่ยิ่งใหญ่ค่ะ” ผู้กำกับแอนิเมเตอร์อัลลิสัน รูทแลนด์กล่าว

                ผู้กำกับศิลป์ฝ่ายตัวละคร แมทท์ โนลเต้กล่าวว่า ตอนแรก พวกนางไม้ตัวเล็กกว่านี้อีก “แต่มันให้ความรู้สึกที่ไม่ใช่สำหรับ [ผู้กำกับ] แดน  [สแกนลอน] ครับ” โนลเต้กล่าว “พวกเธอแข็งแกร่งและขี่มอเตอร์ไซค์ แต่รูปร่างของพวกเพรียวบางมาก ดังนั้น พวกเธอก็เลยต้องตัวใหญ่ขึ้น สำหรับพวกนางไม้น่ะครับ และพวกเธอก็เข้ากับเรื่องราวได้ดีกว่าด้วย เราคิดนางไม้ในเวอร์ชันของเราเองขึ้นมาครับ”

                พวกดิกซี ดัสเตอร์สสวมเสื้อแจ็คเก็ตหนังที่ดูดุดันในภาพยนตร์เรื่องนี้ ผู้กำกับศิลป์ฝ่ายกราฟิก พอล คอนราดและทีมงานของเขาอยู่เบื้องหลังแบบดีไซน์ที่โดดเด่นนี้

                เกรย์ กริฟฟิน พากย์เสียง ดิวดร็อป

                เบลซีย์ เป็นมังกรที่ครอบครัวไลท์ฟุ้ทเลี้ยงไว้ เบลซีย์ ที่ทั้งเป็นมิตรและไฮเปอร์สุดๆ สามารถสร้างความโกลาหลได้ด้วยการกระดิกหางหรือการพ่นลมหายใจไฟออกมาเพียงครั้งเดียว “มังกรพ่นไฟที่เคยอยู่ท่ามกลางอัศวินได้พัฒนากลายเป็นสัตว์เลี้ยงประจำบ้านครับ” ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายตัวละคร เจเรมี ทัลบ็อทกล่าว “เบลซีย์เกือบเหมือนงูที่มีขาและปีก เธอมีลิ้นขนาดใหญ่และหอบเหมือนหมาเลยครับ”

                ยูนิคอร์น ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่สง่างามและสูงส่งเหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว สิ่งมีชีวิตที่ดำดิ่งลงไปในกองขยะในนิว มัชรูมตัน มักถูกพบเห็นว่ากินขยะและขู่ทุกคนที่เป็นภัยคุกคามต่อกองขยะเหม็นเน่าของพวกเขา “พวกเขาเป็นเหมือนแรคคูน” สมาชิกหลักฝ่ายสร้างโมเดลตัวละคร โล ฮาโม-ลัดจ์กล่าว “เราชื่นชอบการเล่นกับความคาดหวังที่ว่ายูนิคอร์นยุคใหม่จะเป็นอย่างไร โดยเฉพาะหลังจากที่พวกเขาถูกแนะนำในตอนเริ่มต้นเรื่องว่างดงามและสูงส่งน่ะ”

                ตัวละครฝูงชน เป็นสิ่งจำเป็นในการสร้างชุมชนที่เอียนและบาร์ลีย์อาศัยอยู่ “ลอสแองเจลิสเป็นแรงบันดาลใจสำคัญค่ะ” เบ็คกี้ ไนแมน-ค็อบบ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสร้างของเรื่องกล่าว “เราออกแบบเมืองใหญ่ในยุคปัจจุบัน ดังนั้น ในการออกแบบประชากรของมัน เราก็ต้องการจะทำให้แน่ใจว่าเราจะได้ใส่เอาความหลากหลายแบบที่ปรากฏอยู่ในเมืองใหญ่อย่างแอลเอเข้าไป เราอยากให้ผู้ชมมองเห็นตัวเองในโลกที่เราสร้างขึ้นมาค่ะ”

                นักวาดภาพได้ใส่ตัวแปรเข้าไปในแต่ละสายพันธุ์ รวมถึงตัวละครที่มีความพิกลพิการหรือกระทั่งมังกรนำทางด้วย “เราต้องการจะหาวิธีที่จะสร้างตัวแทนของคนที่มีความบกพร่องทางกายเข้าไป” ไนแมน—ค็อบบ์กล่าว “เราได้พบกับผู้เชี่ยวชาญเพื่อทำให้แน่ใจว่าเราจะแสดงความเคารพกับเรื่องนี้

                “นอกเหนือจากเรื่องของการออกแบบตัวละครแล้ว เรายังได้ออกแบบฉากโดยคำนึงถึงเรื่องนี้อีกด้วย” ไนแมน-ค็อบบ์กล่าวต่อ “ยกตัวอย่างเช่น เราทำให้แน่ใจว่ามีเนินตรงทางเข้าโรงเรียนไฮสคูลและพื้นที่จอดรถสำหรับคนพิการตามห้างร้านต่างๆ”

                หัวหน้าผู้กำกับฝ่ายเทคนิค ซานเจย์ บัคชี ได้ร่วมงานกับซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายตัวละคร เจเรมี ทัลบ็อท เพื่อทดลองแนวทางใหม่ๆ ในการสร้างตัวละครที่เติมเต็มภาพยนตร์เรือง “Onward” “ในหนังที่ผ่านๆ มาของเรา เราได้เพิ่มตัวควบคุมเพื่อขยับส่วนต่างๆ ของใบหน้าเพื่อสร้างความหลากหลาย” บัคชีกล่าว “เราสามารถปรับขนาดและตำแหน่งของดวงตา ปาก และ ฯลฯ ได้ แต่สำหรับหนังเรื่องนี้ เราต้องสร้างสายพันธุ์ในตำนานขึ้นมามากมายและเราก็อยากให้พวกเขามีความเฉพาะเจาะจง เราให้นักวาดภาพออกแบบและสร้างโมเดลตัวละครแต่ละตัวเพื่อให้ทุกตัวดูดี นี่เป็นครั้งแรกที่เราให้สมาชิกหลักทีมสร้างโมเดลและทีมกลไกมาเป็นตัวหลักในการสร้างแบบดีไซน์ที่เฉพาะเจาะจงมากๆ ให้กับตัวละครแต่ละตัวน่ะครับ”

Onward คู่ซ่าล่ามนต์มหัศจรรย์

การสร้างแฟนตาซี

ทีมผู้สร้างผสมผสานความมหัศจรรย์และความคุ้นเคยเพื่อสร้างโลกใบใหม่

                พิกซาร์ แอนิเมชั่น สตูดิโอส์ เคยพาผู้ชมไปใต้ท้องทะเล ท่องอวกาศ ย้อนเวลา และเข้าไปในกล่องของเล่นมาแล้ว แต่ “Onward” เป็นครั้งแรกที่พิกซาร์ได้สำรวจโลกที่เต็มไปด้วยข้าวของเครื่องใช้ที่อำนวยความสะดวกให้กับชาวบ้านที่อยู่ชานเมือง เว้นแต่ยูนิคอร์นจรที่เพ่นพ่านอยู่ตามถนนน่ะนะ

                ผู้กำกับแดน สแกนลอนกล่าวว่า “ปกติแล้ว หนังแฟนตาซีจะเกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้วในยุคสมัยที่เป็นผู้ดีมากๆ ในดินแดนที่งดงามมากๆ มีบางสิ่งที่พิเศษสุดเกี่ยวกับการได้เห็นตัวละครเหล่านี้ในโลกที่เราคุ้นเคยกัน เป็นเรื่องสนุกที่ได้จินตนาการพวกเขาเล่นสเก็ตบอร์ด ขึ้นรถเมล์ ดูทีวีหรือเล่นเกม มันเป็นสิ่งที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน มันเป็นความย้อนแย้งของการได้เห็นเอลฟ์ต้องพาลูกไปซ้อมฟุตบอลน่ะครับ”ๆ

                ผู้ออกแบบงานสร้าง โนอาห์ โคลเซ็ค ทีมผู้สร้างได้ใช้เวลานานในการให้คำนิยามว่าฉากแฟนตาซีสมัยใหม่จะมีลักษณะเป็นอย่างไร “แม้ว่ามันจะเป็นหนังแฟนตาซี มันก็ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับการเป็นหนังแฟนตาซี” เขากล่าว “มันเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสองพี่น้องและการเดินทางของพวกเขา” เขากล่าว “สิ่งที่เราต้องการนำเสนอคือภาพที่น่าอัศจรรย์และคุ้นตา มันเป็นสมดุลของสองสิ่งนี้ครับ”

                “มันเป็นโลกที่คนจะจดจำได้ตั้งแต่ทีแรก” ผู้กำกับศิลป์ฝ่ายฉาก ฮุย งิวเยนกล่าวเสริม “มีบ้านจัดสรร ทางหลวง ห้างสรรพสินค้า แต่เราก็ทำการปรับเปลี่ยนตรงนั้นตรงนี้เล็กๆ น้อยๆ เพื่อใส่องค์ประกอบแบบแฟนตาซีเข้าไปน่ะครับ”

แสง

                ผู้กำกับภาพชารอน คาลาฮัน, เอเอสซี เริ่มต้นความพยายามของเธอด้วยการล้วงลึกเข้าไปในแก่นแท้ของเรื่องราว “มันเป็นเรื่องราวที่เป็นส่วนตัวมากๆ สำหรับแดน [สแกนลอน]” เธอกล่าว “มีอารมณ์มากมายที่เราต้องการนำเสนอ แต่ฉันก็ยังรู้สึกตั้งแต่ตอนแรกแล้วว่าแดนอยากจะสนุกกับมันด้วยเหมือนกันค่ะ”

                คาลาฮันได้รับแรงบันดาลใจจากนิยายภาพและภาพยนตร์ที่สร้างจากมัน รวมถึงงานอาร์ตเวิร์คและภาพยนตร์แฟนตาซีทั่วๆ ไป สีมีบทบาทสำคัญต่อแนวทางการทำงานของเธอ “เราใช้สีที่จำกัดสำหรับฉาก ตัวละครและอุปกรณ์ประกอบฉากที่รวมถึงระดับของค่าและความอิ่มสีภายในสีแดง สีเขียว สีฟ้า สีส้ม สีเหลือง และเฉดต่างๆ ของสีเหล่านั้น และเราก็จงใจหลีกเลี่ยงสีม่วงเว้นแต่ช่วงเวลาที่มีถุงเท้าของพ่อหรือช่วงเวลาสว่างๆ ในหนังที่ทำให้นึกถึงพ่อ นอกจากนี้  เรายังใช้สีอ่อนที่อิ่มตัวบ่อยๆ ในการสร้างโลเกชันที่โดดเด่นและเพื่อแนะนำเวทมนตร์และความเป็นแฟนตาซีเข้าไปในฉากต่างๆ มากขึ้น”

                ด้วยตัวละครแฟนตาซีต่างๆ ที่อาศัยอยู่ในโลกใบนี้ ฉากจำนวนมากถูกออกแบบให้ถ่วงดุลกับความรู้สึกที่คุ้นเคยมากขึ้น “ถ้าคุณเห็นฉากพวกนี้ในแสงปกติธรรมดาล่ะก็ มันก็จะเป็นภาพที่คุ้นเคยสำหรับโลกของเรา” คาลาฮันกล่าว “แต่ถ้าคุณให้แสงมันอย่างเหมาะสมล่ะก็ พวกมันก็จะก้าวข้ามความธรรมดาไปสู่ความมหัศจรรย์”

กล้อง

                สำหรับ “Onward” ทีมผู้สร้างต้องการใช้เวลาให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในการพัฒนาเรื่องราว ผลก็คือแผนกที่อยู่ปลายกระบวนการได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับทีมเรื่องราวเพื่อลำดับการทำงานของพวกเขา “ในบางกรณี เราจะช่วยนักวาดภาพสตอรีบอร์ดในการมองและสำรวจสภาพแวดล้อม 3D เพื่อที่พวกเขาจะได้คุ้นเคยกับพื้นที่ที่ฉากนั้นๆ จะเกิดขึ้น” ผู้กำกับภาพอดัม ฮาบิบกล่าว “ระหว่างที่นักวาดภาพเรื่องราวได้ทดลองกับไอเดียการดำเนินเรื่องต่างๆ ทีมกล้อง ฉากและศิลป์ก็จะร่วมมือกับพวกเขาเพื่อทำให้แน่ใจว่าภาพวิชวล CG จะสนับสนุนเรื่องราวครับ”

                นอกจากนี้ ทีมงานของฮาบิบยังได้ใช้ VR ในการช่วยพวกเขาบันทึกช็อตที่ใช้ รวมถึงการปรับสเกลความสัมพันธ์อีกด้วย “เราใช้ VR เป็นเครื่องมือในการถ่ายทำครับ” ฮาบิบกล่าว “เราจะได้สัมผัสโลกใบนี้เหมือนอย่างตัวละครของเรา ยกตัวอย่างเช่น การที่เอียนเดินอยู่เหนือหลุมที่ไร้ก้นจะเป็นยังไง และในขณะเดียวกัน เราก็จะสามารถใช้กล้องและเลนส์ของเราในการจัดเฟรมของช็อตนั้นๆ อย่างที่ผู้ชมจะสัมผัสมันน่ะครับ”

                ฮาบิบและทีมผู้สร้างคนอื่นๆ ได้สำรวจฉากต่างๆ เช่นร้านอาหารของแมนติคอร์, บ้านของไลท์ฟุ้ทและสะพานทรัสต์ บริจด์ผ่านทาง VR และพวกเขาไม่เพียงแต่ตั้งคำถามกับตัวเองว่า สภาพแวดล้อมเหล่านั้นจะใช้การได้สำหรับช็อตต่างๆ ในเรื่องหรือไม่ แต่ยังตั้งคำถามด้วยว่า พวกมันจะเป็นโลเกชันที่น่าเชื่อหรือไม่ และพวกเขาก็ได้ทำการปรับเปลี่ยนเพื่อตอบสนองกับผลลัพธ์จากการสำรวจด้วย VR ดังกล่าว

สิ่งคุ้นเคยและสิ่งมหัศจรรย์

                โลกของ “Onward” ได้แรงบันดาลใจส่วนหนึ่งจากพื้นที่ในลอสแองเจลิส ท้ายที่สุด ทีมผู้สร้างก็ตัดสินใจเลือกที่จะตั้งย่านชานเมืองแฟนตาซีของพวกเขาในโลเกชันสมมติที่คล้ายคลึงกับพื้นที่นั้น “มันเหมือนกับลอส เฟลิซซัก 20 ปีที่แล้ว” ผู้ออกแบบงานสร้างโนอาห์ โคลเซ็คกล่าว “นอกจากนั้น เรายังได้ดูฟร็อกทาวน์ใกล้ๆ กับแอลเอและย่านชานเมืองของซาคราเมนโต้ด้วย”

                โคลเซ็คกล่าวว่า พวกเขากำหนดอัตราส่วนเป้าหมายในแง่ขององค์ประกอบที่คุ้นเคยและองค์ประกอบที่เป็นสิ่งมหัศจรรย์ “มันแทบจะเป็นเฟรมต่อเฟรมครับ” เขากล่าว “อัตราส่วนที่เราคิดขึ้นมาได้คือ 70/30 ซึ่งก็คือสิ่งที่คุ้นเคย 70 เปอร์เซ็นต์ และสิ่งมหัศจรรย์ 30 เปอร์เซ็นต์ มันใช้ไม่ได้ผลกับทุกสถานการณ์หรอกครับ และเราก็ได้ค้นพบตั้งแต่แรกๆ ว่าบางครั้ง ตัวละครจะเป็นตัวเบี่ยงเบนค่านั้นไปครับ”

                ในความเป็นจริงแล้ว  โลกที่มีผู้อยู่อาศัยเป็นพวกเอลฟ์ ตัวโนม โทรลล์และอื่นๆ น่าจะให้ความรู้สึกที่มหัศจรรย์มากกว่านี้ “ตัวละครก็ทำให้มันถึงเส้นแบ่ง 30 เปอร์เซ็นต์ได้ง่ายๆ” โคลเซ็คกล่าว “ดังนั้น สิ่งอื่นๆ แทบทั้งหมดก็เลยจะต้องเป็นอะไรที่คุ้นเคย แต่ถ้าไม่มีตัวละครในช็อตเลย เราก็รู้สึกว่าเราน่าจะได้ใส่เอาอะไรอย่างบ้านทรงเห็ดเข้าไป”

                พวกเขารักษาสมดุลระหว่างรูปทรงที่ไม่ธรรมดากับรายละเอียดแบบย่านชานเมืองที่คุ้นเคยอย่างระแนงสไตล์บ้านไร่ของแคลิฟอร์เนีย กันสาด ตู้ไปรษณีย์และเสาโทรศัพท์ “สิ่งเดียวที่บ่งบอกถึงความเป็นแฟนตาซีคือเห็ดขนาดใหญ่” โคลเซ็คกล่าว “ไอเดียคือนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ได้ปลูกพวกมันเมื่อ 15 ปีก่อน และสร้างบ้านเข้าไปในนั้นครับ”

                การตกแต่งภายในบ้านก็เป็นภาพที่คุ้นตาเสียเป็นส่วนใหญ่ โดยมีข้อยกเว้นบางประการ รูปทรงภายในจะต้องสอดคล้องกับภายนอก ดังนั้น นักวาดภาพก็เลยได้ศึกษาบ้านดิน ที่เป็นโครงสร้างธรรมชาติที่ใช้เทคนิคการก่อสร้างแบบโบราณ ที่มีรูปทรงคล้ายกับบ้านในนิว มัชรูมตัน รายละเอียดภายในบ้านหลังนี้ก็ตอบรับกับแบ็คดร็อปแฟนตาซีด้วยเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น ที่กันน้ำมันกระเด็นและที่จับประตูในบ้านของไลท์ฟุ้ทจะมีแบบดีไซน์รูปเอลฟ์อยู่

                เอมี แอล. อัลเลน ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายฉากกล่าวว่า “ผู้ออกแบบงานสร้างและทีมศิลป์ของเราทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมในการสร้างภาษาการออกแบบที่ให้ความสำคัญกับรูปทรงขนาดใหญ่และรายละเอียดที่มีขนาดเล็กกว่าด้วยรายละเอียดที่มีระดับกลางลงมาน่ะค่ะ”

บ้านแสนสุข

                ผู้กำกับศิลป์ฝ่ายฉาก ฮุย งูเยน กล่าวว่าลุคของบ้านไลท์ฟุ้ทช่วยในการบอกเล่าเรื่องราวของพวกเขา “แม่เป็นคนที่ดูแลทุกอย่าง และด้วยความที่มีวัยรุ่นสองคนในบ้านของเธอ ก็เลยไม่มีอะไรที่เป็นระเบียบเรียบร้อยจริงๆ หรอกครับ” เขากล่าว “อ่างล้างจานเต็มไปด้วยจาน กล่องซีเรียลวางระเกะระกะ เราก็เลยรู้ทันทีว่านี่เป็นบ้านที่รกรุงรังครับ”

                โต๊ะในห้องครัวถูกอุทิศให้กับ Quests of Yore เกมแฟนตาซีสุดรักสุดหวงของบาร์ลีย์ ซึ่งนักวาดภาพได้พัฒนาและออกแบบให้เป็นเกมที่เล่นได้จริงๆ

                ห้องของเอียนถูกออกแบบให้ดูเหมือนห้องของวัยรุ่นตามปกติ คริสเตน บีช-นีดแฮม สมาชิกหลักทีมตกแต่งฉากกล่าวว่า อุปกรณ์ที่ถูกวางไว้ในห้องของเขาผ่านการพิจารณามาอย่างรอบคอบเพื่อช่วยบ่งบอกถึงลักษณะนิสัยของตัวละครของเขา “เรามองวัตถุที่เราคุ้นเคยและหาหนทางที่จะนำพวกมันเข้ามาในโลกของ ‘Onward’ ค่ะ” เธอกล่าว “มีของเล่นนักบินอวกาศและยานอวกาศที่ถูกทำให้มีกลิ่นไอแบบยุคกลางและมีตัวต่อรูปโครงกระดูกมังกร รวมถึงอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับดนตรีหลายอย่าง เช่นขลุ่ยโอคารินา กล่องเก็บเครื่องดนตรีแฟนตาซีและโปสเตอร์จากวงดนตรีต่างๆ ค่ะ”

รถตู้มหัศจรรย์

                บางที หนึ่งในฉากที่โดดเด่นที่สุดคือฉากติดล้อ กิเนเวียร์ รถตู้ของบาร์ลีย์ เป็นมากกว่าแค่รถตู้ เธอคือม้าผู้องอาจของเขา! รถตู้สีม่วงสุดเร้าใจ ที่ตัวบาร์ลีย์เองสร้างขึ้นมาทั้งหมด อาจจะเก่านิดๆ ก็ตาม แต่มันก็ประดับประดาอย่างน่าตื่นตาตื่นใจด้วยหน้าต่างรูปพระจันทร์เสี้ยวและภาพเขียนฝาผนัง ดังนั้น แน่นอนว่าบาร์ลีย์ได้อาศัยกิเนเวียร์ในการพาพวกเขาไปในการผจญภัยครั้งยิ่งใหญ่นี้ “เขาสร้างเธอขึ้นมาโดยไม่มีคู่มือหรือความรู้ด้านรถยนต์ใดๆ ทั้งสิ้น” ผู้กำกับแดน สแกนลอนกล่าว “และผลลัพธ์ก็สะท้อนถึงเรื่องนั้น”

                รถตู้คันนี้มีแผงไม้ปลอม โปสเตอร์และสติกเกอร์ “มีพรมบนผื้นมากมายและมีภาพกราฟิกที่ได้แรงบันดาลใจจากแฟนตาซียุคกลางด้วย” เอมี แอล. อัลเลน ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายฉากกล่าว

                ผู้กำกับภาพชารอน คาลาฮัน, เอเอสซี กล่าวว่า กิเนเวียร์ทำให้เกิดความยากลำบากในเรื่องการให้แสงเช่นกัน “นอกเหนือจากแสงภายนอกของเธอแล้ว ด้านในยังมีไฟคริสต์มาสดวงเล็กๆ และเชิงเทียน รวมไปถึงโคมไฟด้วย” คาลาฮันกล่าว “กิเนเวียร์เป็นรถสุดเท่ในแบบที่บาร์ลีย์ได้ประกอบเธอขึ้นจากชิ้นส่วนเหลือใช้ และเกจวัดค่าต่างๆ ก็ไม่ได้ใช้งานได้ทั้งหมด บางครั้ง ไฟก็จะติด บางครั้ง ก็ไม่ติด สิ่งที่เริ่มต้นจากความผิดพลาดในเรื่องความต่อเนื่องในส่วนของเรากลับกลายเป็นส่วนหนึ่งพฤติกรรมติดๆ ดับๆ ของเธอ บางครั้ง ไฟหน้ารถจะกะพริบ และตัวเธอก็ถูกยึดเหนี่ยวเข้าด้วยกันด้วยเทปกาวค่ะ”

                ผู้กำกับภาพอดัม ฮาบิบรู้ว่า กิเนเวียร์จะทำให้เกิดความท้าทายในแง่ของการจับเอาแอ็กชันทั้งหมดไปอยู่ข้างในนั้น “ช่วงเวลาหนึ่งของหนังเลยที่เกิดขึ้นในรถตู้” เขากล่าว “ในขณะที่เราอาจจะลักไก่ตัดทอนชิ้นส่วนของรถตู้บางชิ้นออกไป เราก็พยายามจะทำให้มุมกล้องน่าเชื่อและตรงกับสิ่งที่จะเป็นไปได้ถ้าใช้รถตู้จริงๆ และกล้องถ่ายทำจริงๆ”

                นอกจากนั้น ทีมงานของฮาบิบยังต้องการให้ช็อตในรถตู้คันนี้ให้ความรู้สึกน่าตื่นเต้นและสมจริงต่อแอ็กชันความเร็วสูงในรถตู้ ดังนั้น พวกเขาก็เลยใช้กล้องไลฟ์แอ็กชันเพื่อบันทึกการสั่นสะเทือนและการเคลื่อนไหวของกล้อง

                ทีมผู้สร้างเองยังใช้สิ่งอื่นๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้นในแง่ของสิ่งที่เป็นไปได้ “เรามองหนังเดินทางหลายเรื่องเพื่อตรวจดูจังหวะและมุมกล้อง” มือลำดับภาพแคทเธอรีน แอปเปิลกล่าว “เราต้องการจะบันทึกภาพอารมณ์ของตัวละครทั้งสองตัวโดยไม่อาศัยแต่ภาพโคลสอัพน่ะค่ะ”

ร้านอาหารของแมนติคอร์

                “เราได้เรียนรู้ว่าก้าวแรกในการผจญภัยหลายครั้งคือการไปร้านอาหารที่น่าสะพรึงกลัวนอกเมืองเพื่อหาแผนที่ อาวุธหรือข้อมูลสำคัญจากคนลึกลับ” ผู้กำกับแดน สแกนลอนกล่าว “ด้วยความที่บาร์ลีย์เป็นนักประวัติศาสตร์และเป็นแฟนผู้ชื่นชอบการผจญภัย เขาก็เลยรู้ว่าคนที่พวกเขาต้องการเจอคือแมนติคอร์ครับ”

                ทีมผู้สร้างได้ทำการค้นคว้าข้อมูลมากมายในขอบเขตของความแฟนตาซีเพื่อบ่งชี้ว่า ร้านอาหารจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร ก่อนที่พวกเขาจะเปลี่ยนมันแบบจากหน้ามือเป็นหลังมือ “ตอนที่พวกหนุ่มๆ มาถึงร้านอาหาร พวกเขาก็ตระหนักว่ามันได้เปลี่ยนแปลงไปเพราะว่าโลกก็ได้เปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน” สแกนลอนกล่าว “มันกลายเป็นร้านอาหารที่เป็นมิตรสำหรับครอบครัว ในตอนที่เวทมนตร์และการผจญภัยหายไป ผู้ชมหลักของเธอก็หายไปด้วยเช่นกัน ท้ายที่สุดแล้ว แมนติคอร์ก็เลยใช้ประโยชน์จากตำนานของเธอในเชิงพาณิชย์ครับ”

                “บาร์ลีย์นำเอียนเข้าไปในทางออกด้านหลัง ที่ทุกอย่างเป็นแฟนตาซี” ผู้ออกแบบงานสร้างโนอาห์ โคลเซ็คกล่าว “เราต้องการให้ผู้ชมคิดว่า ‘บาร์ลีย์พูดถูก มีโลกแฟนตาซีจริงๆ อยู่ข้างนอกนั่น’ เราดูโรงแรมเล็กๆ ในชนบทของยุโรปหลายแห่งและสถาปัตยกรรมยุคกลางเพื่อหาแรงบันดาลใจ แต่เราก็ใส่ลูกเล่นเข้าไปให้มันพลิกความคาดหมายครับ”

                การตกแต่งแบบโบราณของร้านอาหารถูกแทนที่โดยส่วนใหญ่ เพียงแต่ก็มีบางสิ่งที่บอกเป็นนัยๆ ถึงสิ่งที่มันเคยเป็น “มันกลายเป็นของทั่วๆ ไปที่ทำจากพลาสติกค่ะ” เอมี แอล. อัลเลน ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายฉากกล่าว “มีการทำให้เหลี่ยมมุมต่างๆ ทื่อลงไปค่ะ”

                ร้านอาหารนี้ส่วนหนึ่งถูกเนรมิตให้มีชีวิตชีวาขึ้นได้ด้วยภาพกราฟิก พอล คอนราด ผู้กำกับศิลป์ฝ่ายกราฟิกและทีมงานของเขาเป็นผู้รับผิดชอบการประดับประดาผนังด้วยป้ายแบนเนอร์ ป้ายสัญลักษณ์และวัตถุโบราณต่างๆ “แมนติคอร์มีของที่ระลึกจากการผจญภัยทุกครั้งของเธอ” คอนราดกล่าว “มีอาวุธ แผนที่หรือกระทั่งเสื้อกีฬาติดตามผนังครับ”

                ทีมงานของคอนราดได้สร้างภาพการ์ตูนของแมนติคอร์ รวมถึงภาพกราฟิกที่พบได้ในโซนเครื่องเล่น ที่มีเกมอาร์เคดตั้งอยู่ ที่สำคัญที่สุด ตามความคิดของเอียนและบาร์ลีย์ คือเมนูสำหรับเด็ก/แผนที่ ที่ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นคู่มือนำทางในการผจญภัยของพวกเขา

การขับเคลื่อนการผจญภัย

                นอกจากนี้ ภาพกราฟิกยังช่วยเนรมิตชีวิตให้กับร้านสะดวกซื้อที่เต็มไปด้วยนางไม้ ก่อนที่เอียนและบาร์ลีย์ตัวจิ๋วจะเดินเข้าไปข้างในด้วยซ้ำไป “มีโฆษณาและป้ายไฟนีออนสำหรับเครื่องดื่มโซดา” คอนราดกล่าว “และมันก็เต็มไปด้วยขนมและเครื่องดื่มให้พลังงาน เราถึงขั้นออกแบบล็อตเตอรีด้วยซ้ำไปครับ”

                อัลเลนกล่าวว่า ทีมผู้สร้างต้องการจะใส่เอาองค์ประกอบแฟนตาซีเข้าไปแม้กระทั่งฉากที่คุ้นตาที่สุดอย่างร้านสะดวกซื้อ “เราทำให้ภายนอกดูขุ่นมัวจริงๆ หมอกเริ่มลงแล้วครับ” อัลเลนกล่าว “ทางเดินเท้าชื้นแฉะ และมีเงาต่างๆ มากมายเป็นแบ็คกราวน์ แล้วมันก็มีองค์ประกอบแฟนตาซีอื่นๆ ภายในโครงสร้างสถาปัตยกรรมด้วยเช่นกัน”

                อย่างไรก็ดี เมื่อพวกเขาเข้าไปข้างใน พวกนางไม้ก็ช่วยเติมเต็มองค์ประกอบแฟนตาซีระหว่างที่พวกเธอกระโดดโลดเต้นไปตามช่องทางเดินและตู้กดเครื่องดื่ม

สะพานทรัสต์ บริดจ์

                ในบรรดาโลเกชันต่างๆ ที่สองพี่น้องได้พบระหว่างการผจญภัยของพวกเขาคือสะพานชักเก่าแก่ ซึ่งเป็นจุดสำคัญในการเดินทางของพวกเขา “ฉากนี้เป็นช่วงเวลาที่เราก้าวจากความคุ้นเคยไปสู่โลกแฟนตาซีอย่างเต็มตัว” โคลเซ็คกล่าว

                แมทธิว เว็บบ์ ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายเมฆปุยกล่าวเสริม “จู่ๆ โลกนี้ก็พิสดารยิ่งขึ้น ดังนั้น ตอนนี้ เมฆก็จะมีขนาดใหญ่กว่าและอลังการกว่าเพื่อรองรับอารมณ์นั้นครับ”

                นักวาดภาพได้วางตำแหน่งพระอาทิตย์ขึ้นและเมฆนุ่มๆ บนท้องฟ้าด้านหนึ่งของหลุมกว้างใหญ่ที่ลึกจนไร้ก้น เราสามารถเห็นภูเขาที่ตั้งตระหง่านและเมฆครึ้มได้ที่อีกฝั่งหนึ่ง โคลเซ็คกล่าวว่า หลุมนี้ “ทั้งใหญ่และน่าหวาดหวั่น”

                เอียนมีหน้าที่ในการร่ายเวทมนตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาเพื่อก้าวข้ามหลุมขนาดใหญ่ โดยมีเพียงศรัทธาของตัวเองเท่านั้นคอยรองรับเท้าของเขาไว้ “มันเกิดขึ้นในช่วงเวลาสำคัญของเรื่อง” ผู้อำนวยการสร้างคอรี่ เรย์กล่าว “เอียนต้องเข้ารับการทดสอบ ไม่เพียงแต่เขาต้องเผชิญหน้ากับความกลัวของตัวเองและต้องเรียกความกล้าที่เขาไม่มั่นใจว่าตัวเองมีเพื่อก้าวข้ามหลุมไร้ก้นเท่านั้น แต่เขายังต้องเชื่อใจพี่ชายของตัวเองอย่างที่ไม่เคยมาก่อน มันเป็นฉากที่น่าสะพรึงกลัว โดยเฉพาะถ้าคุณกลัวความสูง หรือถ้าพูดกันตรงๆ แล้ว แม้ว่าคุณไม่กลัวก็ตามทีเถอะค่ะ”

                ร็อบ ดูเคว็ทท์ ธอมป์สัน ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายแอนิเมชั่นกล่าวว่า แอนิเมเตอร์คิดกฎสำหรับสะพานขึ้นมาเพื่อที่พวกเขาจะสามารถปรับการแสดงขึ้นหรือลงได้ตามความจำเป็น “เราต้องการจะแสดงให้เห็นว่าเอียนรู้สึกกลัว แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ก้าวไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญด้วยครับ” เขากล่าว

                ในการที่ทีมผู้สร้างจะบันทึกอารมณ์ที่ซับซ้อนได้ พวกเขาตัดสินใจทำการกระโดดด้วยตัวเองแบบเสมือนจริง ด้วย พวกเขาใช้ฉากที่ครบถ้วนสมบูรณ์ สวมเครื่องหัว VR และกระโดดก้าวเล็กกว่ามากข้ามหุบเหวเสมือนจริง “คุณสามารถมองเห็นหลุมไร้ก้นบึ้งได้” ไมเคิล สต็อคเกอร์ ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายแอนิเมชั่นกล่าว “มันทำให้คุณเกิดความกลัวจริงๆ จังๆ ได้เลยล่ะ มันเป็นความรู้สึกที่แปลกพิลึกมากๆ”

                พวกเขาได้รวบรวมฟุตเตจอ้างอิงเพื่อบันทึกภาพสีหน้าและภาษาทางกายเอาไว้ “มีหลายคนที่กลัวจนหัวหด” ธอมป์สันกล่าว

                วินเซนต์ เซอร์ริเทลลา ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายเอฟเฟ็กต์และทีมเอฟเฟ็กต์มีหน้าที่รับผิดชอบการเสริมเวทมนตร์เข้าไปในซีเควนซ์นี้ แต่พวกเขาก็พบว่า น้อยกว่าคือมากกว่า อย่างน้อยที่สุดก็ในกรณีนี้ “การทดสอบช่วงเริ่มแรกของเรายิ่งใหญ่กว่านี้เยอะ” เซอร์ริเทลลากล่าว “มันมีปฏิกิริยาตอบสนองใหญ่โตในการก้าวเท้าของเอียน เราต้องยับยั้งชั่งใจตัวเองและดึงมันกลับมา ในการทำให้แพลทฟอร์มเวทมนตร์มีขนาดเล็กลง มันก็ทำให้ไอเดียของหลุมไร้ก้นบึ้งนี้เข้มข้นยิ่งขึ้นครับ”

                ความเข้มข้นนั้นเองที่เป็นจุดเปลี่ยนในเรื่องราวนี้ เจสัน ฮีดลีย์ ผู้เขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้ร่วมกับสแกนลอนและคีธ บูนินกล่าวว่า “นี่เป็นครั้งแรกที่เอียนได้เห็นสิ่งที่เขาสามารถทำได้ นอกจากนั้น มันยังเป็นครั้งแรกด้วยที่เขาตระหนักว่าบางทีบาร์ลีย์อาจพูดถูก ซึ่งเปลี่ยนแปลงจังหวะการผจญภัยของพวกเขาในการเคลื่อนตัวไปข้างหน้าน่ะครับ”

ต้องมนต์สะกด

ทีมเรื่องราว นักวาดภาพและช่างเทคนิคมารวมตัวกันเพื่อร่ายเวทมนตร์

                ทีมผู้สร้างพยายามที่จะแนะนำเอียนและบาร์ลีย์ ไลท์ฟุ้ทให้พ่อผู้ล่วงลับของเขาได้รู้จัก แต่ด้วยวิธีไหนล่ะ? “ส่วนที่เป็นแฟนตาซีและเวทมนตร์ของหนังเกิดจากสิ่งที่เรื่องราวต้องการ” ผู้กำกับแดน สแกนลอนกล่าว “โลกทั้งใบเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตที่เคยมีความมหัศจรรย์ แต่ก็ได้สูญเสียศักยภาพบางส่วนของตัวเองไป”

                ทีมผู้สร้างมองเวทมนตร์ว่าเป็นสิ่งที่เปรียบได้กับศักยภาพของคนๆ นั้น และคีธ บูนิน ผู้เขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้ร่วมกับสแกนลอนและเจสัน ฮีดลีย์ก็มองว่า นอกจากนั้น มันยังเป็นเรื่องของการรับรู้ถึงสิ่งที่ทุกคนต้องยื่นออกมาให้ด้วย “อะไรคือสิ่งที่มีแต่คุณเท่านั้นที่จะนำมาสู่โลกใบนี้ได้” บูนินตั้งคำถาม “ผมคิดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดตั้งแต่เริ่มแรกคือความสามารถในการมองเห็นเวทมนตร์ในตัวคุณเองและในตัวคนอื่นๆ มันต้องอาศัยความเอื้อเฟื้ออย่างยิ่งและความสามารถในการเปิดพื้นที่ให้คนรอบตัวคุณแสดงตัวในเวอร์ชันที่ดีที่สุดของพวกเขาเองน่ะครับ”

                ใน “Onward” เวทมนตร์เป็นสิ่งจำเป็นต่อเอียนและบาร์ลีย์ในการทำภารกิจการผจญภัยของพวกเขาให้สำเร็จเพื่อให้ได้พบพ่อของพวกเขา และมันก็ยังเป็นข้อได้เปรียบที่สำคัญอีกด้วย “เอียนเป็นคนเดียวที่สามารถร่ายเวทมนตร์ได้ ไม่ว่าเขาจะชอบหรือไม่ก็ตาม” สแกนลอนกล่าว “และบาร์ลีย์ก็เป็นคนที่มีความรู้ เอียนก็เลยจำเป็นต้องฟังเขาเป็นครั้งแรกครับ”

                ไมเคิล สต็อคเกอร์ ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายแอนิเมชั่นกล่าวเสริม “บาร์ลีย์ทำหน้าที่โค้ช เขารู้เรื่องเวทมนตร์เยอะแยะ บาร์ลีย์ก็เลยพยายามให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับเอียนในเวลาที่เหมาะสมน่ะครับ”

ร่ายมนต์ออกมา

                “ครั้งหนึ่งคือทั้งหมดที่เราจะได้” คาถาของพ่อเริ่มต้นขึ้น “ขอชีวีจงไหลกลับคืนจนกว่าอาทิตย์วันรุ่งจะสิ้น วันหนึ่งที่จะเดินบนพื้นพิภพ”

                ทีมผู้สร้างค่อยๆ พัฒนากฎอย่างไม่เป็นทางการเพื่อใช้นำทางกระบวนการสร้างเวทมนตร์คาถาของพวกเขา “เราอยากให้เวทมนตร์เป็นสิ่งที่คุณสามารถทำได้ด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบันนี้ เช่นการจุดไฟ หรือสร้างแสงสว่างน่ะครับ” สแกนลอนกล่าว “และเราก็ต้องทำให้แน่ใจว่าไม่ว่าการร่ายเวทมนตร์จะต้องทำอย่างไรบ้าง มันจะต้องเป็นเรื่องที่ท้าทาย เสี่ยงอันตรายและยากลำบากพอที่คุณจะต้องคิดซ้ำสองก่อนที่จะลงมือทำน่ะครับ”

                ด้วยความที่เวทมนตร์มีบทบาทสำคัญเหลือเกินในภาพยนตร์เรื่องนี้ ทีมผู้สร้างก็ต้องเขียนมนต์คาถาขึ้นมาจริงๆ ในแบบที่ทำให้พวกมันฟังดูเก่าแก่ น่าเชื่อและตลกขบขัน “แทบทุกคาถาในหนังเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการเติบโตของเอียนในชั่วขณะนั้นครับ” ฮีดลีย์กล่าว

                ทีมมือเขียนบทได้ปรับเปลี่ยนคาถาอยู่หลายครั้งกว่าจะพบโทนเสียงที่เหมาะสม และท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาก็หันไปพึ่งทีมงานในสตูดิโอ ผู้คลั่งไคล้เรื่องแฟนตาซี ให้ช่วยตรวจงานให้กับพวกเขา “พวกเขาผลักดันเราให้ทำให้แน่ใจว่าภาษาของคาถาพวกนั้นจะเจ๋งและสร้างแรงบันดาลใจครับ” สแกนลอนกล่าว “เราได้เขียนคาถาติงต๊องขึ้นมามากมาย จนท้ายที่สุดเราก็พูดว่า ‘ลองดูสิ’ แล้วพวกเขาก็สร้างภาษาของพวกเขาเองขึ้นมา ตอนที่เราได้ยินทอม ฮอลแลนด์พูดมันออกมา มันก็ฟังดูเจ๋งจริงๆ นั่นแหละครับ”

การสร้างเวทมนตร์

                ไมเคิล สต็อคเกอร์ ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายแอนิเมชั่นกล่าวว่า กุญแจสำคัญในการเนรมิตชีวิตให้กับเวทมนตร์คาถาเหล่านี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่ช่วงเริ่มแรกของงานสร้าง “เราได้ทำการทดสอบช่วงเริ่มแรกหลายครั้ง” เขากล่าว “เราได้บันทึกภาพตัวเองถือไม้เท้าพ่อมด และตั้งคำถามหลายข้อ เช่นว่า ‘ในตอนเริ่มแรก เอียนแสดงท่าเคอะเขินรึเปล่า แล้วมันดูเป็นอย่างไรบ้าง’ เอียนไม่รู้หรอกว่าเขากำลังทำอะไรอยู่และไม้เท้าพ่อมดนั้นก็มีพลังที่เขาไม่สามารถควบคุมได้ เขายังไม่รู้วิธี มันให้ความรู้สึกเหมือนตอนที่ผมสอนลูกสาวผมขับรถเลยครับ พอผ่านไปนานเข้า เธอก็เริ่มผ่อนคลายมากขึ้น ซึ่งเอียนก็เป็นแบบเดียวกันครับ”

                แอนิเมเตอร์ได้แสดงให้เห็นถึงความมั่นใจในเวทมนตร์ที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ของเอียนด้วยลักษณะการยืนของเขา ความเร็วในการเคลื่อนไหวของเขา และการตั้งท่าของเขา “ไม้เท้าพ่อมด ซึ่งในตอนแรก เขาแทบจะใช้มันไม่เป็น กลายเป็นเหมือนอวัยวะอีกชิ้นหนึ่งของตัวละครตัวนี้” สต็อคเกอร์กล่าว “ท้ายที่สุดแล้ว เขาก็ควงไม้เท้าพ่อมดเหมือนกับเขาเคยร่ายคาถามาเป็นล้านๆ ครั้งและเขาก็เป็นผู้เชี่ยวชาญ มันให้ความรู้สึกน่าตื่นตาตื่นใจนิดๆ ครับ”

                ร็อบ ดูเคว็ทท์ ธอมป์สัน ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายแอนิเมชั่นกล่าวว่า เวทมนตร์ในภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นส่วนผสมระหว่างความวุ่นวายและระเบียบ “มันมีความวุ่นวายเมื่อเวทมนตร์เกิดผิดพลาด และมีความเป็นระเบียบ เมื่อมันเป็นไปอย่างราบรื่น” เขากล่าว “บาร์ลีย์มักเตือนเอียนให้มีสมาธิ ซึ่งก็เป็นเรื่องจริงสำหรับเราทุกคน คุณจะต้องปล่อยวางจากเรื่องวุ่นๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัวคุณ ไม่อย่างนั้น คุณก็จะร่ายมนต์คาถาพลาดครับ”

                ธอมป์สันกล่าวว่า คาถาความจริงในตอนที่พวกหนุ่มๆ ปรากฏตัวในฐานะเจ้าหน้าที่โคลท์ บรองโก้เป็นเรื่องที่จัดการได้ลำบาก “พวกเขาพูดโกหกไม่ได้” ธอมป์สันกล่าว “ตราบใดที่พวกเขาพูดความจริง พวกเขาก็จะดูเหมือนโคลท์จากมุมมองของตำรวจสองคนที่ตั้งคำถามพวกเขาอยู่ แต่ผู้ชมก็จะต้องมองทะลุคาถานั้นเข้ามาได้ ดังนั้น เราก็จะสามารถเห็นพวกหนุ่มๆ ได้จากอีกด้านหนึ่งครับ”

                ทีมแอนิเมชั่นได้ทำงานร่วมกับทีมเอฟเฟ็กต์ในการสร้างฉากที่มีเวทมนตร์ วินเซนต์ เซอร์ริเทลลา ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายเอฟเฟ็กต์กล่าวว่า เอฟเฟ็กต์อย่างเวทมนตร์ใน “Onward” เป็นเรื่องที่ยุ่งยากเสมอ “มันเป็นคอนเซ็ปต์แบบนามธรรมน่ะครับ” เขากล่าว “เราต้องสร้างสิ่งที่น่าจะมองไม่เห็นให้เป็นสิ่งที่จับต้องได้”

                เซอร์ริเทลลากล่าวว่า ขั้นแรก ทีมงานจะต้องตัดสินใจก่อนว่าพวกเขากำลังสร้างเวทมนตร์แบบไหน มันวุ่นวาย หรือแปลกประหลาด สง่างามหรือสวยงาม? ด้วยการมีส่วนร่วมจากผู้ออกแบบงานสร้าง ทีมเรื่องราว ทีมแสงและทีมแอนิเมชั่น เซอร์ริเทลลา ผู้มีแบ็คกราวน์ด้านการวาดภาพและวิจิตรศิลป์ ได้พยายามถ่ายทอดลุคที่ต้องการให้ทีมเอฟเฟ็กต์เข้าใจ “พวกเขาทุกคนต่างก็ต้องการให้เอฟเฟ็กต์เติมเต็มการแสดงราวกับว่ามันเป็นนักแสดงสมทบน่ะครับ” เซอร์ริเทลลากล่าว “และมันก็ต้องมีความเปลี่ยนแปลงในตัวเวทมนตร์เมื่อเอียนเปลี่ยนแปลงจากการเป็นเด็กฝึกหัดสู่การเป็นพ่อมดในช่วงระยะเวลาการดำเนินเรื่องน่ะครับ”

                ความซับซ้อนของเวทมนตร์เพิ่มสูงขึ้นเช่นเดียวกับความเข้าใจที่เอียนมีต่อมัน ในความเป็นจริงแล้ว เวทมนตร์คาถาถูกแบ่งออกเป็นระดับต่างๆ ซึ่งช่วยให้ทีมเอฟเฟ็กต์ตัดสินใจได้ว่าจะทำให้มันประณีตมากน้อยแค่ไหน พวกเขาใช้สีในการแยกแยะเรื่องบางอย่าง “พ่อมักมีสีม่วงเป็นตัวแทนครับ” เซอร์ริเทลลากล่าว “และถ้าเวทมนตร์เกิดผิดพลาดขึ้นมา เราก็มักจะเปลี่ยนสีเพื่อทำให้มันเห็นได้อย่างชัดเจน”

การหาตัวโน้ตที่เหมาะสม

สองพี่น้อง ไมเคิล แดนนาและเจฟฟ์ แดนนา ถูกเรียกตัวมาเนรมิตดนตรีสุดวิเศษ; นักร้อง แบรนดี้ คาร์ไลล์ มาร้องเพลงเครดิตตอนจบเรื่อง

                “Onward” โดยดิสนีย์และพิกซาร์นำเสนอดนตรีประกอบที่มีชีวิตชีวาจากสองพี่น้องนักประพันธ์เพลงไมเคิล แดนนาและเจฟฟ์ แดนนา โดยมีแบรนดี้ คาร์ไลล์ เป็นผู้ร้องเพลงออริจินอลในช่วงเครดิตตอนจบเรื่องที่มีชื่อว่า “Carried Me With You” ซาวน์แทร็คออริจินอลของภาพยนตร์เรื่องนี้จะจัดจำหน่ายทางดิจิตอลโดยวอลท์ ดิสนีย์ เรคคอร์ดส์ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ปี 2020

                ในตอนที่ไมเคิล แดนนาและเจฟฟ์ แดนนาก้าวเท้าเข้าไปในพิกซาร์ แอนิเมชั่น สตูดิโอส์เพื่อรับฟังเกี่ยวกับโปรเจ็กต์ใหม่จากผู้กำกับแดน สแกนลอน พวกเขาก็ไม่รู้เลยว่าจะเจอกับอะไร และสิ่งที่พวกเขาได้ยินก็สร้างความแปลกใจให้กับพวกเขา “มันมีความเกี่ยวข้องกับเราอย่างน่าแปลกครับ” ไมเคิล แดนนากล่าว “ทันทีที่แดนเริ่มคุยถึงเรื่องนี้ ผมก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาเลย เรื่องของเราคือผู้เป็นพ่อเป็นนักบัญชีและเสียชีวิตตอนที่สองพี่น้องยังเด็ก ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้อง ในกรณีของเรา ตอนนั้นเราอายุ 19 และ 13 ครับ มันเป็นอะไรที่ชวนให้หัวใจสลายทีเดียว ผมรู้สึกสั่นคลอนไปกับเรื่องราวที่ถูกนำเสนอนี้”

                เรื่องราวของสแกนลอนเกี่ยวกับสองพี่น้องที่พยายามเพื่อให้ได้ใช้วันสุดวิเศษกับพ่อผู้ล่วงลับของพวกเขาเป็นเรื่องที่สองพี่น้องแดนนาเข้าใจเป็นอย่างดี “มันเหมือนการบำบัดที่เราไม่ได้คาดฝันว่าจะได้เจอระหว่างการประชุมน่ะครับ” ไมเคิล แดนนากล่าว

                เจฟฟ์ แดนนากล่าวเสริมอีกว่า “ผมสงสัยว่าแดนจะชื่นชอบไอเดียที่มีพี่น้องสองคนนั่งอยู่ตรงข้ามเขารึเปล่า ผมสงสัยว่าเขาจะเห็นคความคล้ายคลึงกันบ้างรึเปล่าน่ะครับ”

                “ในฐานะนักประพันธ์” ไมเคิล แดนนากล่าว “คุณจะต้องเข้าใจและเข้าถึงอารมณ์ของตัวละคร คุณจะต้องเห็นใจพวกเขาและกลับไปมองประสบการณ์ของตัวเอง บางครั้ง มันก็ต้องอาศัยความพยายามอยู่บ้าง แต่ในกรณีนี้ เราไม่มีปัญหาในการเข้าถึงอารมณ์ส่วนตัวต่างๆ ที่เรามีต่อเรื่องราวนี้เลยครับ”

                ในการยกระดับแง่มุมแฟนตาซีของภาพยนตร์เรื่องนี้ ทีมนักประพันธ์ได้หันไปหาเครื่องดนตรีโฟล์คและเครื่องดนตรียุคเริ่มแรก ซึ่งรวมถึงกีตาร์โฟล์คและเครื่องสายโบราณ “มีตอนหนึ่ง เราได้ใช้ครัมฮอร์นด้วยครับ” เจฟฟ์ แดนนากล่าว “เราชอบเอาสิ่งที่แปลกนิดๆ ที่คนไม่ค่อยจะใช้กัน มาผสมผสานมันเข้ากับวงซิมโฟนี ออร์เคสตราวงใหญ่ และมันก็ใช้ได้ผลจริงๆ สำหรับหนังเรื่องนี้”

                พวกเขาชื่นชอบไอเดียของการผจญภัยครั้งยิ่งใหญ่ และสร้างเพลงธีมสำหรับการผจญภัยที่ฮึกเหิมให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้ “แต่เราก็ยังต้องการอีกด้านหนึ่งของเหรียญด้วย เราต้องการเพลงธีมที่มืดหม่น วุ่นวายใจ ในตอนที่พวกเขาประสบปัญหาในการเดินทาง” ไมเคิล แดนนากล่าว “สำหรับเพลงธีมการผจญภัยที่มืดหม่น เราใช้เสียงเครื่องเป่าลมไม้ที่มีเสียงต่ำ ในทางกลับกัน เพลงธีมของเอียนจะมีชีวิตชีวาและเป็นไปในแง่บวกมากกว่า ซึ่งมันก็จะพัฒนาขึ้นมาระหว่างการดำเนินเรื่องเมื่อเขาพบความมั่นใจและจุดแข็งของตัวเองน่ะครับ”

                นอกจากนี้ สองพี่น้องแดนนายังรับผิดชอบดนตรีที่บาร์ลีย์เปิดในรถตู้กิเนเวียร์ของเขาด้วย “นั่นเป็นสิ่งที่เราสนุกกับมันจริงๆ ครับ” ไมเคิล แดนนากล่าว “มันมีองค์ประกอบของเพลงอินดีต้นยุค 90s ที่มีแง่มุมต่างๆ ของเพลงโปรเกรสซีพร็อคยุค 70s ที่มีกลอง กีตาร์ ซินธ์ และการร้องประสานเสียง สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นองค์ประกอบที่สอดคล้องไปกับไอเดียแฟนตาซีในย่านชานเมืองน่ะครับ มันเป็นร็อคแอนด์โรลล์แบบสุดเหวี่ยงสำหรับคนที่อาศัยอยู่ในโลกใบนั้นจริงๆ”

                เจฟฟ์ แดนนาเล่าว่า ดนตรีที่พวกเขาแต่งสำหรับรถตู้ของบาร์ลีย์ได้นำไปสู่เพลงธีมสำหรับการผจญภัย แต่มันก็ขยายตัวใหญ่โตขึ้นเยอะ แดนนากล่าวว่า “หนึ่งในจุดสำคัญของเรื่องราวในหนังเรื่องนี้เริ่มต้นขึ้นในตอนที่สองพี่น้องเข้าไปในรถตู้แล้วบาร์ลีย์พูดว่า ‘เราจะออกผจญภัยกันแล้วนะ!’ เราคิดว่าคงจะสนุกดีถ้าดนตรีร็อคที่เราได้ยินในรถตู้เป็นจุดบ่มเพาะเพลงธีมซิมโฟนีสำหรับการผจญภัย ที่ภายหลังจะเล่นด้วยวงออร์เคสตราเต็มวงน่ะครับ”

                ดนตรีเป็นองค์ประกอบสำคัญของเรื่องราว ดังนั้น สองนักประพันธ์จึงต้องออกแบบดนตรีให้เติมเต็มเวทมนตร์คาถาและเอฟเฟ็กต์ “ในทางดนตรีแล้ว เวทมนตร์เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และอยู่นอกเหนือการควบคุม เช่นทรัมเป็ตที่ลอยไปมาน่ะครับ” เจฟฟ์ ดานากล่าว “แต่โดยเนื้อแท้แล้ว มันก็มีโน้ตสี่ตัว แม้กระทั่งในฉากแรกตอนที่เวทมนตร์หลุดจากการควบคุม ไซโคลนของโน้ตดนตรีที่หมุนติ้วนี้ก็มีตัวโน้ตเพียงแค่สี่ตัวนี้เท่านั้นแหละครับ

                “มันเป็นสิ่งที่คุณแทบจะจับสังเกตไม่ได้” แดนนากล่าวต่อ “ในตอนที่หนังเดินหน้าไปเรื่อยๆ เราก็นำเสนอเรื่องนั้นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ในบรรดาเรื่องราววุ่นวายทั้งหลายทั้งปวงนี้ ตัวโน้ตสี่ตัวนี้จะเป็นตัวบอกเล่าเรื่องราวของเวทมนตร์ครับ”

                ดนตรีประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้บันทึกเสียงด้วยวงออร์เคสตราเครื่องดนตรี 92 ชิ้น ที่มีนิโคลัส ด็อดด์ ทำหน้าที่วาทยกร

                พวกเขาร่วมกันรังสรรค์ดนตรีประกอบที่ถ่ายทอดความตื่นเต้นและอารมณ์ของภาพยนตร์เรื่องนี้ออกมา “นั่นเป็นหน้าที่ของดนตรีครับ” ไมเคิล แดนนากล่าว “เราช่วยนำทางคุณในการเดินทางครั้งนี้ ทั้งในด้านอารมณ์และการดำเนินเรื่อง โดยไม่บงการ หรือชี้นำ แต่เราปรับอารมณ์ของคุณเพื่อการรับเรื่องราวนี้ นี่เป็นเรื่องราวที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เพราะทุกครอบครัวก็จะมีการสูญเสียของตัวเอง ความสำเร็จของหนังเรื่องนี้ก็คือเรื่องราวที่เป็นสากลของความรักและความสูญเสียนี้ถูกนำเสนอออกมาในรูปแบบที่ไม่คาดฝันและไม่เหมือนใคร และสำหรับเราแล้ว นั่นคือพลังของ ‘Onward’ ครับ”

Facebook Comments
ติดต่อ Maganetthailand.com
Don`t copy text!