
เข้าฉาย: 25 ธันวาคม 2563
ประเภท: แอนิเมชั่น
นักแสดง: เจมี่ ฟ็อกซ์, ทีน่า เฟย์, ฟิลลิเซีย ราชาร์ด, อาเมียร์ เควสท์เลิฟ ธอมป์สัน, เดวีด ดิกส์
ผู้กำกับ: พีท ด็อกเตอร์
ผุ้กำกับร่วม: เคมป์ พาวเวอร์ส
ผู้เขียนบทภาพยนตร์: เคมป์ พาวเวอร์ส กับ ไมค์ โจนส์
ผู้อำนวยการสร้าง: ดาน่า เมอร์เรย์
อะไรที่ทำให้คุณ…เป็นคุณ? ธันวาคมนี้ ภาพยนตร์เรื่องใหม่ล่าสุดจากพิกซาร์แอนิเมชั่นสตูดิโอส์ “SOUL – มหัศจรรย์วิญญาณอลเวง“ จะพาคุณไปรู้ตักกับโจ การ์ดเนอร์ (ให้เสียงโดย เจมี่ ฟ็อกซ์) ครูผู้ควบคุมวงดนตรีโรงเรียงมัธยมแห่งหนึ่ง ที่ได้รับโอกาสสุดยิ่งใหญ่ในชีวิตที่จะได้เล่นในแจ๊สคลับที่ดีที่สุดในเมือง แต่การก้าวพลาดเพียงหนึ่งก้าวเล็กๆ ได้พาเขาจากถนนในมหานครนิวยอร์กไปสู่นครก่อนเกิด สถานที่มหัศจรรย์ที่ซึ่งเหล่าวิญญาณดวงใหม่จะได้รับบุคลิกภาพ พฤติกรรมแปลกๆ และความสนใจ ก่อนที่จะไปเกิดบนโลก ด้วยความมุ่งมั่นที่จะกลับไปสู่ชีวิตของเขา โจ ร่วมมือกับวิญญาณจอมแก่แดดที่ชื่อ ทเวนตี้ทู (ให้เสียงโดยทีน่า เฟย์) ผู้ที่ไม่เคยเข้าใจความเย้ายวนของประสบการณ์การเป็นมนุษย์ ในขณะที่โจพยายามทำให้ทเวนตี้ทูได้เห็นข้อดีของการมีชีวิตอยู่ เขาอาจพบคำตอบของบางคำถามที่สำคัญที่สุดของชีวิต กำกับโดยผู้กำกับรางวัลออสการ์ พีท ด็อกเตอร์ (“อินไซด์ เอาท์,” “อัพ”) และผู้กำกับร่วมเคมป์ พาวเวอร์ส (“วัน ไนท์ อิน ไมอามี่”) และอำนวยการสร้างโดยดาน่า เมอร์เรย์ (เรื่องสั้นพิกซาร์ “ลูว์”) “SOUL – มหัศจรรย์วิญญาณอลเวง“ จากดิสนีย์ พิกซาร์ จะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์วันที่ 25 ธันวาคม 2563
เกร็ดน่ารู้
- ผู้กำกับ พีท ด็อกเตอร์ กำกับ “มอนสเตอร์ อิงค์” (ปี 2001) รวมถึงแอนิเมชั่นรางวัลออสการ์ “อัพ” (ปี 2009) และ “อินไซด์เอาท์” (ปี 2015) และเป็นประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายครีเอทีฟที่ พิกซาร์ แอนิเมชั่น สตูดิโอส์ อีกด้วย
- จอน บาทิสต์ นักดนตรีชื่อดังระดับโลก จะเขียนเพลงแจ๊สที่แต่งขึ้นใหม่ให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้ นักประพันธ์เจ้าของรางวัลออสการ์ เทรนท์ เรซเนอร์ และแอทติคัส รอส (“เดอะ โซเชียล เน็ทเวิร์ค”) จากวง ไนน์ อินช์ เนลส์ จะแต่งดนตรีประกอบภาพยนตร์ที่จะล่องลอยระหว่างโลกเห็นความจริงและโลกแห่งจิตวิญญาณ

SOUL
Release Date: December 25, 2020
Genre: Animation
Voice Cast: Jamie Foxx, Tina Fey, Phylicia Rashad, Ahmir Questlove Thompson, Daveed Diggs
Director: Pete Docter
Co-Director: Kemp Powers
Writers: Kemp Powers & Mike Jones
Producer: Dana Murray
What is it the makes you…YOU? This December, Pixar Animation Studios’ all-new feature film “Soul” introduces Joe Gardner (Voice of Jamie Foxx) – a middle-school band teacher who gets the chance of a lifetime to play at the best jazz club in town. But one small misstep takes him from the streets of New York City to the Great Before – a fantastical place where new souls get their personalities, quirks and interests before they go to Earth. Determined to return to his life, Joe team up with a precocious soul, 22 (Voice of Tina Fey), who has never understood the appeal of the human experience. As Joe desperately tries to show 22 what’s great about living, he may just discover the answers to some of life’s most important questions. Directed by Academy Award Winner Pete Doctor (“Inside Out,” “Up”), co-directed by Kemp Powers (“One Night in Miami”) and produced by Academy Award nominee Dana Murray (Pixar short “Lou”) Disney and Pixar’s “SOUL” opens in theatre December 25, 2020
NOTES:
- Director Pete Docter helmed “Monsters, Inc.” (2001), as well as the Oscar®-winning feature films “Up” (2009) and “Inside Out” (2015), and is chief creative officer at Pixar Animation Studios.
- Globally renowned musician Jon Batiste will be writing original jazz music for the film, and Oscar®-winners Trent Reznor and Atticus Ross (“The Social Network”), from Nine Inch Nails, will compose an original score that will drift between the real and soul worlds.
“นี่คือที่ที่ทุกอย่างเริ่มต้นขึ้น นี่เป็นชั่วขณะที่ฉันตกหลุมรักแจ๊ส ฟังสิ! ท่วงทำนองนั่น
คือจุดเริ่มต้น เธอเข้าใจมั้ย?
ดนตรีเป็นเพียงแค่ข้อแม้ในการดึงตัวเธอออกมาเท่านั้นเอง”
~โจ การ์ดเนอร์, “Soul”
ข้อมูลงานสร้าง
อะไรคือสิ่งที่ทำให้คุณ…เป็นคุณ? “Soul” ภาพยนตร์เรื่องใหม่เอี่ยมจากพิกซาร์ แอนิเมชั่น สตูดิโอส์ จะแนะนำให้เราได้รู้จักกับโจ การ์ดเนอร์ (พากย์เสียงโดยเจมี่ ฟ็อกซ์) ครูผู้ควบคุมวงดนตรีระดับชั้นมัธยม ผู้หลงรักแจ๊สแบบเข้าเส้น “โจต้องการจะเป็นนักเปียโนแจ๊สมืออาชีพเหนือสิ่งอื่นใดครับ” ผู้กำกับพีท ด็อกเตอร์กล่าว “ดังนั้น เมื่อเขาได้รับโอกาสทองครั้งหนึ่งในชีวิตที่จะได้เล่นกับวงดนตรีในตำนาน โจก็รู้สึกว่าเขาได้มาถึงฝั่งฝันแล้ว”
แต่ความผิดพลาดเล็กๆ เพียงข้อเดียวก็นำพาเขาจากท้องถนนในนิวยอร์ก ซิตี้ไปสู่นครก่อนเกิด สถานที่สุดวิเศษ ที่ซึ่งวิญญาณเกิดใหม่จะได้รับบุคลิก นิสัยแปลกๆ เฉพาะตัวและสิ่งที่พวกเขาสนใจก่อนที่พวกเขาจะไปยังโลกมนุษย์ ด็อกเตอร์กล่าวว่า ไอเดียเกี่ยวกับโลกที่แปลกพิเศษนี้เกิดขึ้นมานานถึง 23 ปีแล้ว “มันเริ่มต้นขึ้นจากลูกชายของผม ที่ตอนนี้อายุ 23 ปีแล้ว คือทันทีที่เขาเกิดมา เขาก็มีบุคลิกของตัวเองแล้ว” ด็อกเตอร์เล่า “แล้วมันมาจากไหน ผมเคยคิดว่าบุคลิกของคุณจะพัฒนาขึ้นจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างคุณกับโลกใบนี้ แต่กลับกลายเป็นว่าเราทุกคนล้วนแล้วแต่เกิดมาด้วยความรู้สึกเฉพาะตัวอย่างสุดพิเศษที่ว่าตัวเราเองเป็นใคร
“ในเรื่องราวของเรา ทุกคนเกิดมาพร้อมกับดวงวิญญาณทั้งนั้น” ด็อกเตอร์กล่าวต่อ “และดวงวิญญาณก็ไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นแบบไม่ได้เตรียมตัว พวกเขาได้รับการฝึกฝนมาและได้รับทั้งบุคลิกและสิ่งที่พวกเขาสนใจครับ”
อย่างไรก็ดี โจ การ์ดเนอร์รู้สึกเหมือนตัวเองไม่ควรที่จะอยู่ในดินแดนของพวกดวงวิญญาณใหม่นี้ ด้วยความตั้งใจที่จะกลับไปสู่ชีวิตเดิมของตัวเองอีกครั้ง เขาได้ร่วมมือกับวิญญาณจอมแก่แดด ทเวนตี้ทู (พากย์เสียงโดยทีน่า เฟย์) ผู้ไม่เคยเข้าใจถึงมนต์เสน่ห์ของประสบการณ์แบบมนุษย์เลย “บางครั้ง ดวงวิญญาณก็เจอปัญหาเล็กๆ ในการตามหาประกายชีวิตพิเศษที่จะผลักดันพวกเขาไปสู่โลกน่ะครับ” ผู้กำกับร่วม เคมป์ พาวเวอร์สกล่าว “ที่ปรึกษาของนครก่อนเกิดได้ระดมเหล่าพี่เลี้ยงมาช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้กับดวงวิญญาณเหล่านี้ บรรดาคนพิเศษที่ไม่ธรรมดาในประวัติศาสตร์เช่นอับราฮัม ลินคอล์น และมันก็ได้ผลสำหรับวิญญาณทุกดวงยกเว้น ทเวนตี้ทู ผู้เป็นเหมือนเด็กโตเจ้าอารมณ์นิดๆ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ตัวเธอไม่ได้มีความปรารถนาอยากจะไปโลกเลยซักนิด”
โจได้มาเป็นพี่เลี้ยงคนถัดไปของ ทเวนตี้ทู โดยไม่ได้ตั้งใจและเขาก็คิดได้ว่าถ้าเขาช่วยเธอได้ บางที เขาก็อาจจะกลับไปโลกได้ทันเวลางานแสดงครั้งใหญ่ของเขา “เขาคิดว่าสิ่งที่เขาต้องทำมีเพียงแค่ช่วยเธอในการตามหาประกายชีวิต สิ่งที่จะทำให้การมีชีวิตอยู่เป็นเรื่องคุ้มค่า” ผู้อำนวยการสร้างดาน่า เมอร์เรย์กล่าว “เขาคิดว่านั่นเป็นเรื่องง่าย มันก็เหมือนกับความรักในแจ๊ส ซึ่งดูจะเป็นเรื่องที่ชัดเจนเหลือเกินสำหรับเขา”
แต่ในขณะที่โจดิ้นรนที่จะทำให้ ทเวนตี้ทู ได้เห็นว่า การมีชีวิตอยู่มันยอดเยี่ยมอย่างไร เขาก็อาจจะได้ค้นพบคำตอบสำหรับคำถามที่เขาเองก็ไม่เคยคิดจะถามด้วยซ้ำเกี่ยวกับชีวิตของตัวเอง หัวหน้าฝ่ายเรื่องราว คริสเตน เลสเตอร์กล่าวว่า “อะไรที่ทำให้ชีวิตมีความหมายกันล่ะคะ ใช่ความสัมพันธ์ที่คุณมีรึเปล่า เกี่ยวกับการมีตัวตนอยู่รึเปล่า คุณสามารถมีบทสนทนาดีๆ กาแฟเลิศรส การทำสิ่งต่างๆ เหล่านั้นพร้อมกันทำให้ชีวิตมีความหมายรึเปล่า เรื่องราวของเราไม่ได้เลือกฝั่งใดฝั่งหนึ่งเป็นพิเศษ ทั้งความสัมพันธ์ ครอบครัว มันมีความรู้สึกที่ว่าชีวิตเป็นทั้งหมดนั่นค่ะ”
มือเขียนบทร่วม ไมค์ โจนส์กล่าวเห็นพ้องด้วย “ผมคิดว่าไม่ว่าเราจะมาจากไหนหรือเราจะมาไกลซักเท่าไหร่ บางครั้ง เราก็จะสงสัยในชีวิตอีกรูปแบบหนึ่ง เราผลักตัวเองไปข้างหน้าเสมอ ในตัวศิลปินจะมีแรงขับเคลื่อนที่จะสร้างบางสิ่งบางอย่างเสมอ ที่จะทำให้พวกเขารู้สึกไม่พึงพอใจอยู่เรื่อยๆ”
ด็อกเตอร์ตระหนักถึงไอเดียเช่นนี้ในชีวิตของตัวเขาเอง “ผมโชคดีมากๆ ที่ได้ร่วมงานกับคนที่เหลือเชื่อและสร้างหนังที่ได้เข้าฉายทั่วโลก” เขากล่าว “แต่ผมก็ตระหนักได้ว่าถึงโปรเจ็กต์พวกนี้จะวิเศษสุดแค่ไหน แต่ชีวิตก็มีอะไรมากกว่าสิ่งเดียวที่คุณคลั่งไคล้ แม้ว่ามันอาจจะเติมเต็มและถ่ายทอดความรู้สึกของคุณได้มากแค่ไหนก็ตาม บางครั้ง สิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่สลักสำคัญนี่แหละคือแก่นแท้ของชีวิต
“ผมจำได้ว่าวันหนึ่ง ผมกำลังขี่จักรยานอยู่ แล้วผมก็หยุดเพื่อเก็บลูกราสเบอร์รี” เขากล่าวต่อ “มันอุ่นเพราะแสงแดด และกลายเป็นลูกราสเบอร์รีที่อร่อยที่สุดที่ผมเคคยกิน ผมยังจำช่วงเวลาที่แทบจะไม่มีอะไรนั่นได้อย่างชัดเจน แทบทุกช่วงเวลาในชีวิตของเราสามารถเป็นช่วงเวลาแห่งการตื่นรู้ ที่จำกัดความถึงเหตุผลที่เรามาอยู่ตรงนี้ได้ หนังเรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับการขยายไอเดียของการมีสิ่งที่คุณสนใจเพียงอย่างเดียวไปสู่การคิดให้กว้างขึ้นเกี่ยวกับสิ่งที่ชีวิตเสนอมาให้กับเราและสิ่งที่เราเสนอให้กับชีวิตครับ”
“Soul” ที่เรื่องราวเกิดขึ้นในนิวยอร์ก ซิตี้ ศูนย์กลางดนตรีแจ๊ส ที่มีกระแสชีวิตเร่งรีบ และโลกในจินตนาการของนครก่อนเกิด ได้ใช้ประโยชน์จากความแตกต่างระหว่างเมืองใหญ่และดินแดนอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ แนวทางการสร้างภาพยนตร์และการเคลื่อนไหวตัวละครของทีมผู้สร้างได้รับแรงบันดาลใจส่วนหนึ่งจากอิทธิพลสองอย่างที่แตกต่างกัน นั่นคือศิลปะของศิลปินและนักเขียนการ์ตูนเสียดสีชาวอังกฤษ โรนัลด์ เซียร์ และแอนิเมชั่นจากการ์ตูนแอนิเมชั่นคลาสสิกปี 1961 ของดิสนีย์เรื่อง “101 Dalmatians” จู๊ด บราวน์บิล ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายแอนิเมชั่นกล่าวว่า “เซียร์และ ‘101 Dalmatians’ ส่งอิทธิพลต่อลุคและความรู้สึกของ ‘Soul’ ในแทบทุกส่วน ตั้งแต่รูปทรงที่ไม่สมบูรณ์แบบของตึกต่างๆ เฟอร์นิเจอร์และอุปกรณ์ประกอบฉาก ไปจนถึงจำนวนรอยยับย่นบนเสื้อผ้าของตัวละคร สำหรับแอนิเมชั่น อิทธิพลจากเซียร์เป็นแรงบันดาลใจสำหรับการโพสต์ท่าที่เด่นชัดและตรงไปตรงมาภายในองค์ประกอบภาพที่ชัดเจน ซึ่งเป็นตัวดึงสายตาของผู้ชมตลอดทั้งฉาก การศึกษา ‘101 Dalmatians’ เป็นการตอกย้ำความสำคัญของการใช้ไอเดียการแสดงหนึ่งเดียวในชั่วขณะนั้น และวางท่าโพสต์หลักๆ เอาไว้เพื่อให้ช่วงเวลาสำคัญฉายแสงได้ชัดเจนยิ่งขึ้นค่ะ”
สิ่งที่ช่วยเติมเต็มการตัดสินใจด้านวิชวลเหล่านี้ให้สมบูรณ์คือแนวทางสองง่ามในการสร้างดนตรี “จอน บาทิสต์ นักร้อง นักประพันธ์ นักแต่งเพลง หัวหน้าวง อัจฉริยะแจ๊ส ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลแกรมมี เป็นผู้รังสรรค์ดนตรีแจ๊ส ซึ่งช่วยยกระดับนิวยอร์ก ซิตี้ที่งดงามและสมจริงของเรื่องขึ้นไปอีก” เมอร์เรย์กล่าว “ในตอนที่คุณได้เห็นมือของโจเล่นเครื่องดนตรีในหนังเรื่องนี้ นั่นคือจอนค่ะ แแอนิเมเตอร์ของเราได้ศึกษาฟุตเตจอ้างอิงที่เป็นภาพจอนเล่นเปียโนเอาไว้เพื่อบันทึกรายละเอียดการเล่นดนตรีของเขา ตั้งแต่ลักษณะการเคลื่อนไหวนิ้วของเขาไปจนถึงการหายใจเข้าของเขาน่ะค่ะ
“เทรนท์ เรซเนอร์และแอทติคัส รอสจากไนน์ อินช์ เนลส์เป็นผู้ดูแลดนตรีทั้งหมดในโลกของ ‘Soul’ ค่ะ” เมอร์เรย์กล่าวต่อ “มันช่างเหนือคำบรรยาย ความแตกต่างที่พวกเขานำเสนอเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นจริงๆ นี่เป็นตัวเลือกที่ไม่คาดฝันสำหรับพิกซาร์ มันไม่เหมือนกับสิ่งที่เราเคยทำมาก่อน ฉันชื่นชอบการผสมผสานอย่างที่เรามีนะคะ”
เจมี่ ฟ็อกซ์ (“Just Mercy,” “Project Power”) ผู้ได้รับรางวัลออสการ์และลูกโลกทองคำจากการแสดงของเขาในภาพยนตร์ปี 2004 เรื่อง “Ray” ได้ให้เสียงพากย์ โจ การ์ดเนอร์ ส่วน ทเวนตี้ทู ดวงวิญญาณใหม่พากย์เสียงโดย ทีน่า เฟย์ นักแสดง นักเขียน ผู้อำนวยการสร้างและมือเขียนบทเจ้าของรางวัล เกรแฮม นอร์ตัน (“The Graham Norton Show”) เจ้าของห้ารางวัลบาฟตา พากย์เสียง มูนวินด์ คนทรงผู้ถือป้าย และราเชล เฮาส์ (“Hunt for the Wilderpeople,” “Thor: Ragnarok”) พากย์เสียง เทอร์รี ผู้หมกมุ่นกับการนับ
ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังพากย์เสียงโดย ฟิลลิเซีย ราชาร์ด (“This Is Us,” “A Fall from Grace”) ในบท ลิบบา แม่ผู้ยึดติดกับความจริงของโจ, ดอนเนล รอว์ลิงส์ นักแสดงตลก รับบท เดซ ช่างตัดผมของโจ, อาห์เมียร์ “เควสท์เลิฟ” ธอมป์สัน (ผู้อำนวยการดนตรีของ “The Tonight Show Starring Jimmy Fallon,” The Roots) ในบท เคอร์ลีย์ ลูกศิษย์เก่าของโจ, แองเจลา บาสเซ็ทท์ (“Avengers: Endgame,” “Black Panther”) ในบทโดโรเธีย วิลเลียมส์ ตำนานวงการแจ๊สและเดวีด ดิกส์ (“Hamilton,” “Blindspotting”) พอล เพื่อนบ้านผู้แสดงความเกลียดชัง อลิซ บรากา (“Elysium”), ริชาร์ด อโยเอด (“The Mandalorian”), เวส สตูดี้ (“Woke,” “The Last of the Mohicans”), ฟอร์จูน เฟมสเตอร์ (“Bless the Harts”) และเซโนเบีย ชรอฟ (“The Affair”) ให้เสียงพากย์ที่ปรึกษา จูน สควิบบ์ (“Nebraska”) พากย์เสียง เกเรล หญิงชราวัย 106 ปีที่กำลังมุ่งหน้าสู่นครก่อนเกิด
พีท ด็อกเตอร์ (“Inside Out,” “Up”) เจ้าของรางวัลอคาเดมี อวอร์ด นั่งแท่นผู้กำกับ “Soul” และดาน่า เมอร์เรย์, พี.จี.เอ. ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ด (เรื่องสั้นพิกซาร์ “Lou”) รับหน้าที่ผู้อำนวยการสร้าง เคมป์ พาวเวอร์ส (“One Night in Miami”) ร่วมกำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ ด้วยเรื่องราวและบทภาพยนตร์โดยด็อกเตอร์, ไมค์ โจนส์และพาวเวอร์ส แดน สแกนลอนและคีรี ฮาร์ทรับหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างบริหาร เรียบเรียงและประพันธ์ดนตรีแจ๊สโดยนักดนตรีชื่อดังระดับโลกและผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลแกรมมี จอน บาทิสต์และเจ้าของรางวัลออสการ์ เทรนท์ เรซเนอร์และแอทติคัส รอส (“The Social Network”) เป็นผู้ประพันธ์ดนตรีประกอบดั้งเดิม
“คุณอยากให้ตัวละครพวกนี้สมจริงและเป็นจริงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้” ด็อกเตอร์กล่าว “ผมเป็นนักดนตรีสมัครเล่นและผมก็เข้าใจความรู้สึกของโจจริงๆ แต่ผมไม่ใช่ชาวแอฟริกันอเมริกัน ผมไม่ได้โตมาในวัฒนธรรมนั้น การได้เคมป์มาทำงานกับเราด้วยเป็นประโยชน์อย่างใหญ่หลวงในแง่นั้น และที่ปรึกษาด้านวัฒนธรรมและนักดนตรีที่เราได้ร่วมงานด้วยก็ช่วยให้ความรู้กับเรามากมาย เราคงไม่สามารถสร้างหนังเรื่องนี้ขึ้นมาได้ถ้าไม่ได้รับความช่วยเหลือและแรงสนับสนุนจากพวกเขา” ที่ปรึกษาด้านดนตรีและวัฒนธรรมรวมถึงดร.ปีเตอร์ อาร์เชอร์, จอน บาทิสต์, ดร.คริสโตเฟอร์ เบล, เทอร์รี ลิน แคร์ริงตัตน, ดร.จอห์นเน็ตตา เบ็ตช์ โคล, เดวีด ดิกส์, เฮอร์บี้ แฮนค็อก, มาร์คัส แม็คลอริน, จอร์จ สเปนเซอร์, อาห์เมียร์ “เควสท์เลิฟ” ธอมป์สันและแบรดฟอร์ด ยัง
“Soul” ภาพยนตร์จากดิสนีย์และพิกซาร์ เรท PG จะแพร่ภาพเฉพาะทางดิสนีย์พลัสในวันที่ 25 ธันวาคม ปี 2020
อะไรที่ทำให้คุณเป็นคุณ
“Soul” นำเสนอตัวละครสารพัดรูปแบบ
“Soul” จากดิสนีย์และพิกซาร์ ได้เดินทางไปมาระหว่างนิวยอร์ก ซิตี้ ที่มีประชากรซับซ้อน หลากหลายและเต็มไปด้วยชีวิตชีวา และนครก่อนเกิด ซึ่งมีชาวเมืองเป็นดวงวิญญาณที่พรั่งพรูออกมาจากจินตนาการของศิลปินและช่างเทคนิคที่พิกซาร์ แอนิเมชั่น สตูดิโอส์ ความย้อนแย้งนี้ก่อให้เกิดบรรดาตัวละครรุ่มรวย ที่มีความเชื่อมโยงกันอย่างโดดเด่น แต่ก็แตกต่างกันแบบคนละโลกด้วย
นอกจากนี้ “Soul” ยังเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของพิกซาร์ ที่เต็มไปด้วยตัวละครผิวสีดำและผิวสีน้ำตาล ทีมผู้สร้างใส่ใจเป็นพิเศษกับการทำให้แน่ใจว่าจะมีการนำเสนอผิวสีทุกรูปแบบอย่างสมจริงและเต็มไปด้วยรายละเอียด “ฉันใส่ใจในเรื่องโทนสีผิวจริงๆ ค่ะ” บริน อิเมจิเร ผู้กำกับศิลป์ฝ่ายเงากล่าว “เราอยากจะนำเสนอตัวละครแอฟริกันอเมริกันในหลายๆ ระดับ ซึ่งสำหรับฉันแล้ว การนำเสนอมันออกมาอย่างถูกต้องเป็นเรื่องสำคัญ”
ทีมงานสร้างได้ทำการค้นคว้าข้อมูลอย่างหนัก ซึ่งรวมถึงการปรึกษากับแบรดฟอร์ด ยัง ผู้กำกับภาพชื่อดัง ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์จากผลงานของเขาในภาพยนตร์ปี 2016 เรื่อง “Arrival” “ผมคิดว่าผมได้มีส่วนร่วมในเชิงปรัชญามากกว่างานสร้างที่เห็นผลเป็นรูปธรรมซะอีกนะครับ” ยังกล่าว “ทีมงานพัฒนาไปมากโขแล้วในเรื่องของเท็กซ์เจอร์วิชวล ผมก็แค่สนับสนุนพวกเขาให้ระวังในสิ่งต่างๆ ที่อาจจะส่งผลดีกว่าหรือให้คำแนะนำว่าจะทำให้มันมีมิติและมีชีวิตชีวามากขึ้นยังไง เพราะมันก็ดีอยู่แล้วน่ะครับ”
เหล่าตัวละครใน “Soul” ประกอบไปด้วยนักดนตรีมากพรสวรรค์ แม่ผู้เข้มแข็ง ดวงวิญญาณใหม่ ที่ปรึกษาประจำค่ายและแมวบำบัด ซึ่งทุกตัวละครล้วนแล้วแต่ผลักดันให้โจ การ์ดเนอร์ เกิดความตระหนักรู้ในแบบที่พลิกชีวิตเขาไปในแบบที่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนทั้งสิ้น
“วันนี้เริ่มต้นจากการเป็นวันที่ดีที่สุดในชีวิตฉัน…”
โจ การ์ดเนอร์ เป็นครูผู้ควบคุมวงดนตรีประจำโรงเรียนมัธยม ผู้คลั่งไคล้ในการเล่นเพลงแจ๊ส และเขาก็เก่งซะด้วย เขาฝันถึงการได้เล่นเปียโนแบบมืออาชีพและเฝ้ารอเวลาที่เขาจะได้แจ้งเกิดเสียที “เขาคอยหล่อเลี้ยงความฝันของตัวเองให้มีชีวิต แต่ก็แบบร่อแร่ ถ่านยังคงลุกโชนอยู่ แต่เขาก็ต้องหล่อเลี้ยงมันด้วยรายได้ในฐานะครูของเขา” ผู้กำกับพีท ด็อกเตอร์ กล่าว “เขาคิดเสมอว่านี่จะเป็นงานชั่วคราวจนกว่าเขาจะได้งานเป็นนักดนตรีแบบเต็มตัว”
มือเขียนบทร่วม ไมค์ โจนส์กล่าวว่า ในตอนที่เราได้พบกับโจ เขาพบว่าตัวเองยืนอยู่บนทางแยกที่เขาหลีกเลี่ยงมาเนิ่นนานแล้ว “ครูใหญ่บอกเขาว่า เงินที่ว่าจ้างเขาได้ถูกจัดสรรใหม่ไปให้ครูที่สอนเต็มเวลา ซึ่งเป็นเหมือนประกาศิตสั่งตายสำหรับโจ ‘ตอนนี้ ฉันกำลังจะได้เงินเลิกจ้างและต้องตายไปโดยที่ทำความฝันไม่สำเร็จ’ น่ะครับ
คริสเตน เลสเตอร์ หัวหน้าฝ่ายเรื่องราว ชี้ให้เห็นว่าการเดินทางของโจคล้ายคลึงกับหลายๆ คนที่พิกซาร์ “ฉันมาจากแบ็คกราวน์ด้านศิลปะค่ะ” เธอกล่าว “ฉันหลงใหลในศิลปะ ฉันก็เลยเข้าใจในแรงขับเคลื่อนหนึ่งเดียวของโจ แรงขับเคลื่อนหนึ่งเดียวของเขา เขาคิดว่าถ้าเขาไม่ได้ทำในสิ่งที่เขาตั้งเป้าเอาไว้ มันก็เหมือนเขาไร้ค่า”
ทีมผู้สร้างต้องการจะแสดงความขัดแย้งภายในใจของโจออกมาในลุคของเขา บ็อบบี้ โพเดสตา ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายแอนิเมชั่นกล่าวว่า เขาพบแรงบันดาลใจจากผู้กำกับพีท ด็อกเตอร์ “ถ้าคุณดูพีทแสดงอะไรซักอย่างกับโจ คุณจะตระหนักได้ว่าพวกเขาน่าจะมีสัดส่วนร่างกายแบบเดียวกัน ที่มีแขนขายาวๆ เคลื่อนไหวไปในทางนั้นทางนี้ตลอดเวลาน่ะครับ”
แอนิเมเตอร์ แฟรงค์ แอ็บนีย์กล่าวว่า นอกจากนั้น ทีมงานยังได้แรงบันดาลใจจากจอน บาทิสต์ นักเปียโนแจ๊สอีกด้วย “โจมีรูปร่างผอมเก้งก้าง และมีนิ้วยาว ซึ่งเราดึงเอาคุณสมบัติพวกนั้นบางอย่างมาจากจอน” แอ็บนีย์กล่าว “นอกจากนั้น เรายังดูโรเจอร์จาก ‘101 Dalmatians’ ที่มีรูปร่างคล้ายคลึงกันด้วย ในตอนที่โรเจอร์หรือโจนั่งเล่นเปียโน บางครั้ง พื้นที่พวกนั้นก็อาจจะดูคับแคบไปหน่อยก็ได้น่ะครับ”
แต่พอโจได้เล่นเปียโน พอเขาได้ปลดปล่อยตัวเองไปกับดนตรี มันก็เหมือนกับว่าเขาได้กลับบ้าน ช่วงเวลาเหล่านั้นสำคัญมากเสียจนทีมผู้สร้างทำให้แน่ใจว่า ทุกตัวโน้ตที่เล่นออกไปจะสมจริง จู๊ด บราวน์บิล ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายแอนิเมชั่นกล่าว “การจำลองภาพการพรมนิ้วบนคีย์เปียโนของจอน บาทิสต์ต้องอาศัยการจัดตั้งกล้องหลายตัวเพื่อบันทึกฟุตเตจอ้างอิงแบบไลฟ์ และเทคโนโลยีใหม่ในการทำให้คีย์เปียโนส่องสว่างขึ้นตามดนตรีที่จอนเล่น เราอยากทำให้แน่ใจว่าทุกตัวโน้ตที่โจเล่นบนหน้าจอจะเป็นโน้ตตัวเดียวกับที่จอนเล่นในสตูดิโอน่ะค่ะ”
นอกจากนี้ บาทิสต์ยังทำให้แอนิเมเตอร์เข้าใจด้วยว่า การเล่นอย่างมีความสุขเป็นอย่างไร “ผมจะแสดงและเล่นดนตรีไปตามเรื่องของผม แล้วพวกเขาก็บันทึกภาพผมได้อย่างยอดเยี่ยม” เขากล่าว “การได้เห็นโจแสดงท่าทางทั้งหมดนั่นเป็นอะไรที่น่าทึ่งทีเดียว คนพวกนี้เป็นอัจฉริยะเลยครับ!”
เจมี่ ฟ็อกซ์ ผู้พากย์เสียง โจ สามารถเข้าใจได้ถึงความสุขที่ตัวละครของเขามีเวลาเล่นดนตรีได้ “ความฝันของเขาคือการที่ซักวันหนึ่ง เขาจะได้เล่นดนตรีกับโดโรเธีย วิลเลียมส์ [ตำนานวงการแจ๊ส] น่ะครับ มันเหมือนกับนักบาสเก็ตบอลที่อยากจะไปเล่นในเดอะ การ์เดน ผมเองก็เกิดมาพร้อมกับประกายชีวิตแบบเดียวกัน ผมเกิดมาพร้อมกับความอยากร้องเพลงและเล่าเรื่องตลกครับ”
ด็อกเตอร์เห็นด้วยกับนักแสดงหนุ่ม “เจมี่ ฟ็อกซ์ไม่เคยหยุดครับ” ผู้กำกับกล่าว “เขาเป็นคนที่มุ่งมั่น และเราก็อยากให้โจเป็นแบบนั้น โจเองก็เหมือนกับเจมี่ตรงที่เขาเป็นคนที่จะไม่ยอมแพ้ เขายังคงมุ่งมั่นต่อสู้เพื่อความฝันของตัวเองอย่างไม่ลดละครับ”
“ผมอยากจะเป็นที่จดจำในเรื่องของความสุขครับ” ฟ็อกซ์กล่าว “ผมเคยต้องไปเล่าเรื่องอาชีพของตัวเองให้ลูกสาวฟัง ซึ่งผมก็แนะนำตัวเองว่าเป็นผู้จัดส่งแสงอาทิตย์ ผมเป็นผู้สร้างรอยยิ้มและส่งความสุขครับ”
เช่นเดียวกัน ความมุ่งมั่นที่โจมีต่อความฝันของเขาช่างแน่วแน่มั่นคง เขาใช้ชีวิตตามลำพังในอพาร์ทเมนต์แห่งหนึ่งในย่านควีนส์ ดื่มด่ำกับดนตรีของตัวเอง และในตอนที่เขาก้าวออกไปข้างนอก เขาก็ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการพูดคุยเรื่องแจ๊ส แต่ในตอนที่ดูเหมือนว่าความฝันของเขากำลังจะกลายเป็นจริง ทุกสิ่งกลับเปลี่ยนแปลงไป “เขาตกลงไปในหลุมค่ะ” ผู้อำนวยการสร้างดาน่า เมอร์เรย์กล่าว “แต่เขาตัดสินใจว่าเขายังไม่อยากจะจบชีวิตลง โดยเฉพาะในตอนนี้ เขาก็เลยตะลุยผ่านดินแดนต่างๆ ก่อนที่จะไปลงเอยในนครก่อนเกิดค่ะ”
โจพบตัวเองได้ก้าวสู่การเดินทางที่ช่วยเปิดตาเขาในแบบที่เขาไม่คาดคิด โดยเขาได้รับมอบหมายให้แสดงให้ดวงวิญญาณใหม่ๆ ได้เห็นว่า ทำไมการมีชีวิตอยู่ถึงเป็นเรื่องคุ้มค่า และคิดว่าตัวเขามีคำตอบสำหรับทุกอย่าง แน่นอนว่าลุคของเขาเปลี่ยนแปลงไปในตอนที่เขาอยู่ในโลกวิญญาณแต่ทีมผู้สร้างก็อยากจะรักษาแก่นแท้ความเป็นโจเอาไว้ เช่นเดียวกับพี่เลี้ยงคนอื่นๆ แบบดีไซน์โลกวิญญาณของโจก็มีคุณลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวแบบที่พวกเขามีตอนอยู่บนโลกด้วยเช่นกัน บราวน์บิลกล่าวว่า “แม้ว่าพวกเขาจะแตกต่างออกไปในแง่ของขนาดและรูปทรง แต่ก็มีความเชื่อมโยงด้านวิชวลระหว่างมนุษย์โจและดวงวิญญาณโจ ไม่เพียงแต่ในแง่ของสัดส่วนใบหน้า และหมวกกับแว่นตาที่เป็นภาพจำของเขาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการแสดงท่าทีชี้โบ๊ชี้เบ๊และอากัปกิริยาที่เฉพาะเจาะจงบางอย่างของเขาที่ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากเจมี่ ฟ็อกซ์ เราอยากให้ผู้ชมเชื่อว่าพวกเขาเป็นตัวละครตัวเดียวกันแม้ว่าพวกเขาจะปรากฏตัวในลักษณะที่แตกต่างกันก็ตาม”
แต่โจใช้เวลาอยู่ในนครก่อนเกิดเพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้น เขาและ ทเวนตี้ทู ได้หาทางกลับไปยังโลกมนุษย์ ในแบบที่ไม่ค่อยจะธรรมดา และนั่นเองที่เป็นจุดเริ่มต้นที่แท้จริงของการผจญภัยร่วมกันของทั้งคู่ ผู้กำกับร่วมเคมป์ พาวเวอร์สเล่าว่า แม้ว่าโจมีอะไรมากมายให้ต้องเรียนรู้ แต่เขาก็ไม่ใช่คนเดียวที่ต้องทำเช่นนั้น “โจ การ์ดเนอร์คือพวกเราทุกคน” พาวเวอร์สกล่าว “ผมคิดว่าใครๆ ก็สามารถเข้าใจได้ถึงไอเดียในการตั้งคำถามว่า สิ่งที่พวกเขากำลังอยู่คือสิ่งที่โชคชะตากำหนดมารึเปล่า ตอนไหน ฉันถึงจะยอมถอดใจกับสิ่งที่ฉันตามไขว่คว้ามาเนิ่นนานล่ะ”
ปรากฏว่า บทเรียนอาจจะไม่ใช่เรื่องของการทำตามความฝันให้เป็นจริงก็ได้ “เราไม่อยากจะนำเสนอหนังที่ทำให้คนรู้สึกเหมือนว่าพวกเขาจะต้องมีเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงและยิ่งใหญ่” เมอร์เรย์กล่าว “หนังเรื่องนี้เป็นหนังสำหรับทุกคน ทุกคนสามารถเชื่อมโยงกับมันได้
“ฉันไม่อยากไปที่โลก”
ทเวนตี้ทู เป็นดวงวิญญาณจอมแก่แดดที่ใช้เวลาหลายร้อยปีที่งานสัมมนา ตัวคุณ ที่ซึ่งดวงวิญญาณใหม่จะต้องผ่านบททดสอบบางอย่างก่อนจะไปยังโลกมนุษย์ เช่นเดียวกับดวงวิญญาณทุกดวงก่อนหน้าเธอ ทเวนตี้ทู ก็เคยผ่านเคหาสน์บุคลิก ซึ่งเป็นที่มาของการประชดประชันที่น่ารัก ไหวพริบคมกริบ และความขี้หงุดหงิดเป็นครั้งคราวของเธอ เธอมีคุณสมบัติทุกอย่างที่จะไปยังโลกมนุษย์ เว้นแต่ข้อเดียว แต่ไม่ว่าเธอจะไปเยือนห้องโถงทุกสรรพสิ่งสักกี่ครั้ง ไม่ว่าบุคคลที่โด่งดังสักกี่คนจะมาแนะแนวเธอ เธอก็ยังไม่พบประกายชีวิตที่เธอต้องการเพื่อทำให้เธอมีคุณสมบัติครบถ้วนในการเดินทางไปสู่โลกมนุษย์ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ ทเวนตี้ทู ทุกข์ร้อนอะไร ความจริงก็คือเธอไม่ได้สนใจชีวิตบนโลกเลยซักนิด แล้วโจจะเกลี้ยกล่อมเธอได้ไหมนะ
“ทเวนตี้ทู มีลิสต์พี่เลี้ยงที่น่าประทับใจ ตั้งแต่อาร์คิมิดิสไปจนถึงคานธี” ด็อกเตอร์กล่าว “ในขณะที่โจเป็นแค่คนธรรมดาๆ จากควีนส์ แทนที่เขาจะร่ายลิสต์ความสำเร็จที่น่าทึ่งทั้งหลายออกมาตามปกติ สิ่งที่เขาสามารถแสดงให้เธอเห็นได้ก็มีเพียงแค่ช่วงเวลาน่าหดหู่ในห้องเรียนและการออดิชันที่ล้มเหลวหลายต่อหลายครั้ง แต่ ทเวนตี้ทู ก็เกิดสนใจขึ้นมา ในขณะที่มีคนที่รู้สึกเหมือนว่าพวกเขาเกิดมาเพื่อทำอะไรสักอย่าง ก็จะมีคนที่รู้สึกเหมือนว่าพวกเขาไม่รู้เลยว่าพวกเขาเกิดมาเพื่อทำอะไรน่ะครับ”
ผู้อำนวยการสร้างดาน่า เมอร์เรย์เล่าว่า ทเวนตี้ทู ต้องดิ้นรนมากกว่าที่เธอเผยความรู้สึกออกมาเสียอีก “การได้เห็นดวงวิญญาณดวงอื่นๆ ทิ้งเธอเพื่อไปยังโลก ฉันคิดว่าลึกๆ ลงไปแล้ว เธอน่าจะคิดว่าตัวเธอผิดปกติ” เมอร์เรย์กล่าว “เธอพยายามจะประชดประชน และทำให้มันกลายเป็นมุขตลก แต่เธอก็กลัวค่ะ”
ทีน่า เฟย์ ผู้พากย์เสียง ทเวนตี้ทู คิดว่า ความกลัวนั้นคือสิ่งที่ทำให้ ทเวนตี้ทู มีเสน่ห์ดึงดูดใจ “ฉันคิดว่าลักษณะที่เธอประชดประชันและสิ่งต่างๆ ที่เธอกลัวเป็นสิ่งที่เข้าถึงได้จริงๆ” เฟย์กล่าว “บางครั้ง ชีวิตก็น่ากลัว และทำให้เราเจ็บปวด ทุกคนต่างก็มีช่วงเวลาที่รู้สึกว่า ‘นี่มันเกินไปแล้วนะ!’ น่ะค่ะ”
ด็อกเตอร์ชื่นชอบความเข้าใจโดยสัญชาตญาณที่เฟย์มีต่อตัวละครตัวนี้ “ทีน่า เฟย์เป็นคนฉลาดและตลกอย่างน่าทึ่งครับ” เขากล่าว “ผมรู้สึกเสมอว่าเธอเข้าใจไปไกลเกินกว่าผม 15 ก้าว เพราะเธอทั้งเฉียบคมและหัวไวมากๆ อารมณ์ขันของเธอนำ ทเวนตี้ทู ไปสู่อีกระดับเลยครับ”
การออกแบบตัวละครตัวนี้เริ่มต้นขึ้นด้วยลุคที่คล้ายคลึงกับดวงวิญญาณใหม่ๆ ดวงอื่นๆ ในนครก่อนเกิด บริน อิเมจิเร ผู้กำกับศิลป์ฝ่ายเงากล่าวว่า “เราดูที่การหักเหของแสง ปริซึม ไอเดียอะไรพวกนั้น เพื่อใช้กับตัวละครที่เป็นดวงวิญญาณ มีการเกรดสีทั่วตัวของตัวละครพวกนี้ที่บ่งบอกถึงไอเดียของการที่แสงทะลุผ่านวัตถุโปร่งแสงและกระจายตัวในนั้น”
ดวงวิญญาณใหม่ทุกดวง รวมถึง ทเวนตี้ทู ดูคล้ายคลึงกันเพราะบุคลิกของพวกเขาเพิ่งจะก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา ในการสร้างความแตกต่างให้กับตัวละครหลัก นักวาดภาพได้มอบดวงตาที่หรี่กึ่งหนึ่งและไม่บ่งบอกถึงความประทับใจใดๆ รวมถึงฟันบนที่ยื่นออกมาสองซี่ให้กับเธอ หลิงจุนยี่ ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายตัวละครเล่าว่า เป็นเรื่องสำคัญที่ ทเวนตี้ทู จะสามารถแสดงอารมณ์ออกมาได้อย่างชัดเจน ซึ่งเป็นความท้าทายสำหรับตัวละครที่มีความเป็นปริมาตร “ในขณะที่ตามปกติแล้ว เราจะมีการให้เงาตรงพื้นผิว ซึ่งทำให้สิ่งต่างๆ ให้ความรู้สึกแบบจับต้องได้มากขึ้น ปริมาตรที่ก่อกำเนิดเป็นดวงวิญญาณใหม่จะบางๆ ดังนั้น สีหน้าของพวกเขาจะอ่านได้ยากขึ้น” หลิงกล่าว “นักวาดภาพและช่างเทคนิคได้ร่วมงานกันเพื่อเปลี่ยนข้อมูลเชิงเรขาคณิตจากพื้นผิวให้กลายเป็นปริมาตร ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยทำกันนัก เพื่อที่เราจะสามารถอ่านปากและริมฝีปากของพวกเขาได้ แม้ว่าพวกเขาจะมีลักษณะโปร่งแสงก็ตาม”
แอนิเมเตอร์พบวิธีสนุกๆ ที่มีเอกลักษณ์ในการแสดงให้เห็นถึงบุคลิกของตัวละครตัวนี้ จู๊ด บราวน์บิล ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายแอนิเมชั่นกล่าวว่า “ดวงวิญญาณใหม่ไม่ได้มีแขนและขา แต่เราจินตนาการว่า ทเวนตี้ทู อยู่ที่นั่นมานานหลายปีและผ่านพี่เลี้ยงมาหลายคนมากๆ จนเธอได้เรียนรู้วิธีที่จะยืดแขนหรือขาออกมาในทุกครั้งที่เธอต้องการ เธออาจจะมีนิ้วมือน้อยๆ หรือถ้าเธอต้องการจะชี้ เธอก็สามารถสร้างตัวเลขขึ้นมาได้ แต่เธอก็ขี้เกียจและขาดความมั่นใจด้วย ดังนั้น เมื่อไหร่ก็ตามที่เธอไม่ต้องการแขนขาพวกนั้น เธอก็สามารถหดมันและซ่อนมันได้”
แม้ว่าเรื่องราวนี้จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเดินทางเพื่อค้นพบตัวเองของโจ ผู้อำนวยการสร้างบริหาร คีรี ฮาร์ทกล่าวว่า การเดินทางสู่โลกของ ทเวนตี้ทู อาจจะเปลี่ยนแปลงดวงวิญญาณใหม่ช่างประชดประชันดวงนี้ด้วยเช่นกัน “สิ่งหนึ่งที่พิเศษสุดเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้คือ ทเวนตี้ทู ได้รับโอกาสจากสถานการณ์ที่ไม่ธรรมดาให้อาศัยอยู่บนโลกได้ชั่วคราวและได้รับรู้ว่ามันเป็นความรู้สึกอย่างไร” ฮาร์ทกล่าว “เธอตระหนักได้ว่ามันไม่เหมือนอย่างที่เธอคาดหวังเอาไว้เลย”
“งานนี้มีเงินช่วยเหลือไหม?”
ลิบบา การ์ดเนอร์ เป็นแม่ของโจ เป็นแฟนพันธุ์แท้ของเขา และเป็นผู้ที่คอยบอกความจริงให้กับเขาด้วยใจเมตตา เธอเป็นนักธุรกิจหญิงผู้ทะนงตน ผู้เป็นเจ้าของร้านตัดเสื้อผ้าที่ประสบความสำเร็จในย่านควีนส์มานานหลายสิบปี อดีตสามีของเธอ พ่อของโจ เป็นนักดนตรีตกยาก ลิบบาจึงเป็นตัวหลักในการหาเลี้ยงครอบครัว เธอรู้ว่าชีวิตนักดนตรีเป็นอะไรที่ทารุณ เธอก็เลยสนับสนุนโจให้มีแผนสำรองเอาไว้ ซึ่งเขาตีความว่ามันเป็นการไม่สนับสนุน แต่ไม่ว่าลิบบาจะยึดถือความเป็นจริงมากแค่ไหน เหนือสิ่งอื่นใด เธอรักโจและต้องการให้เขามีความสุข
“ลิบบาไม่อยากจะเห็นโจต้องดิ้นรนในแบบเดียวกับพ่อของเขา” ผู้กำกับร่วมเคมป์ พาวเวอร์สกล่าว “ผมสามารถเข้าใจได้ในฐานะคนเป็นพ่อเป็นแม่ เราทุกคนต่างก็อยากจะสนับสนุนความหวังและความฝันของลูกๆ เราทั้งนั้นแหละ แต่มันก็อาจจะค้านกับความปรารถนาพื้นฐานที่อยากจะให้พวกเขาใช้ชีวิตต่อไปได้ด้วยดีในตอนที่เราไม่อยู่แล้วน่ะครับ”
“ลิบบาก็แค่อยากให้โจได้เจอกับสิ่งที่ดีที่สุด” เมอร์เรย์กล่าวเสริม “ฟิลลิเซีย ราชาร์ดเพอร์เฟ็กต์สำหรับการพากย์เสียงลิบบาค่ะ เพราะเธอแข็งแกร่งแต่ก็อบอุ่นด้วย”
ราชาร์ดเล่าว่า ทีมผู้สร้างสนับสนุนให้เธอทำให้ตัวละครตัวนั้นกลายเป็นตัวละครของเธอ “การร่วมงานกับ [พิกซาร์] เป็นเรื่องน่าทึ่งจริงๆ มันเป็นไปตามธรรมชาติและมีความสมัครสมานสามัคคีกันมากๆ” เธอกล่าว “มีคุณสมบัติบางอย่างที่พวกเขาต้องการได้ยินในเสียงของเธอ และฉันก็มีอิสระในการตามหามัน ฉันอยากจะพากย์เสียงตัวละครในหนังแอนิเมชั่นมาโดยตลอด นี่เป็นงานแรกของฉันและฉันก็สนุกกับมันจริงๆ ค่ะ”
จู๊ด บราวน์บิล ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายแอนิเมชั่น เล่าว่า แอนิเมเตอร์ได้อาศัยการแสดงของราชาร์ดมาช่วยในการกำหนดลักษณะของตัวละครตัวนี้ “ฟิลลิเซีย ราชาร์ดได้นำสิ่งที่พิเศษสุดมาสู่ตัวละครตัวนี้ ลิบบามีพลังงานล้นเหลือโดยเฉพาะในตอนที่เธอพยายามเกลี้ยกล่อมโจให้ยอมรับชีวิตครูของเขาและยอมรับความมั่นคงแบบนั้นน่ะค่ะ”
ลิบบาเป็นตัวอย่างของตัวละครหญิงแกร่งใน “Soul” และทีมผู้สร้างต้องการจะนำเสนอบรรดาผู้หญิงที่ทรงพลังเหล่านี้ในแบบที่สมจริง พวกเขาหันไปขอคำแนะนำจากดร.จอห์นเน็ตตา เบทช์ โคล “เราใช้เวลานานคุยกันถึงเรื่องการนำเสนอผู้หญิงผิวดำ” ดร.โคลกล่าว “เป็นเรื่องสำคัญสำหรับฉันที่ผู้หญิงพวกนี้ ทั้งลิบบา โดโรเธีย จะไม่ได้ถูกนำเสนอออกมาตามแบบฉบับทั่วๆ ไปน่ะค่ะ”
ปรากฏว่า ทีมผู้สร้างบางคนมองว่าลิบบาเหมือนกับดร.โคล ผู้เข้าใจถึงการเปรียบเทียบนั้น “ฉันเข้าใจตัวลิบบาในหลายๆ แง่มุม” ดร.โคลกล่าว “เธอทั้งแข็งแกร่งและเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณ และแม้ว่าเธอจะหวงแหนลูกชายของเธอ แต่ท้ายที่สุดแล้ว เธอก็ยอมรับว่าเขาจะต้องทำตามความคลั่งไคล้ของตัวเอง”
นักวาดภาพเบื้องหลังการออกแบบตัวละครต้องการจะทำให้แน่ใจว่า ลิบบาดูแข็งแกร่งและมั่นใจ นอกเหนือจากนั้น ชุดของเธอยังเป็นสิ่งสำคัญด้วยเพราะตัวละครตัวนี้เป็นเจ้าของร้านตัดเสื้อผ้า บริน อิเมจิเร ผู้กำกับศิลป์ฝ่ายเงาต้องการให้เสื้อผ้าของลิบบาดูเหมือนเสื้อผ้าคุณภาพสูง “คุณจะสังเกตได้ว่าชุดทุกชุดของลิบบาล้วนแล้วแต่มีเท็กซ์เจอร์ผ้าทอที่น่าทึ่ง” อิเมจิเรกล่าว “เราใช้เทคนิคนี้ที่ได้ถักทอเส้นใยขึ้นจริงๆ เพื่อก่อให้เกิดเป็นเนื้อผ้าขึ้นมาภายในคอมพิวเตอร์ค่ะ”
นอกจากนั้น ทีมผู้สร้างยังเลือกสีสันจัดจ้านให้กับชุดของลิบบาด้วย “เราชื่นชอบเธอในสีสันที่อิ่มตัวค่ะ” อิเมจิเรกล่าว “ฉันชื่นชอบสีที่คล้ายคลึงกันเช่นสีแดงม่วงและสีส้มปะการัง มันเป็นรายละเอียดเล็กน้อย แต่ก็ช่วยบ่งบอกถึงบุคลิกที่แข็งแกร่งของเธอค่ะ”
“ขึ้นมาบนนี้สิ คุณครู เราไม่ได้มีเวลาทั้งวันหรอกนะ”
โดโรเธีย วิลเลียมส์ เป็นตำนานวงการแจ๊สที่โด่งดังระดับโลก ผู้สร้างตำแหน่งแห่งที่ของตัวเองท่ามกลางคนดังทั้งหลาย ด้วยความมั่นใจ แข็งแกร่งและความสง่างาม เธอมีพรสวรรค์อย่างแท้จริงในการเล่นแซ็กโซโฟน โดโรเธียแผ่กลิ่นไอของความมั่นใจออกมาบนเวที และไม่ทนต่อเรื่องไร้สาระใดๆ ทั้งสิ้นในเรื่องของแจ๊สหรือชีวิต วงดนตรีคือครอบครัวของเธอ และการเข้าร่วมครอบครัวนั้นก็เป็นเกียรติที่เธอเต็มใจจะมอบให้กับคนเพียงไม่กี่คน ไม่ง่ายเลยที่จะทำให้โดโรเธียประทับใจได้ แต่มันก็คุ้มค่าที่จะลอง
“โดโรเธียรอบคอบและมีความตั้งใจอย่างมากในการเลือกคนที่เธอต้องการมาร่วมกลุ่มด้วย” ผู้อำนวยการสร้างบริหาร คีรี ฮาร์ทกล่าว “ฉันคิดว่าโจชื่นชมเธออยู่ห่างๆ ดังนั้น มันก็เลยเป็นเรื่องใหญ่มากๆ สำหรับเขาที่ได้โอกาสมาแสดงกับเธอน่ะค่ะ”
ผู้กำกับพีท ด็อกเตอร์กล่าว ทีมผู้สร้างต้องการคนที่จะสามารถถ่ายทอดถึงบารมีของโดโรเธียได้ แต่ก็ต้องมีความเป็นที่ชื่นชอบอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ด้วยเช่นกัน และแองเจลา บาสเซ็ทท์ก็มีคุณสมบัติตรงตามนั้น “แองเจลามีความเข้มแข็งเหลือเกินครับ” ด็อกเตอร์กล่าว “พอเธอเดินเข้าไปในห้อง คุณก็จะรู้สึกได้ พอเธอพูด คุณก็จะฟัง เราสามารถดึงความเข้มแข็งจากเธอมาใส่ลงไปในตัวละครตัวนี้ได้ครับ”
แอนิเมเตอร์แสดงให้เห็นถึงความมั่นใจของโดโรเธียในแบบที่คาดไม่ถึง นั่นคือด้วยการจำกัดการเคลื่อนไหวของเธอ “พวกเขาทำงานได้อย่างน่าทึ่งในการทำให้เธออยู่นิ่งๆ และทรงพลังในการวางตัวของเธอ ในการที่เธอกะพริบตาหรือสบตาน้อยครั้ง มันสร้างความรู้สึกน่าหวาดหวั่นขึ้นมาค่ะ” ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายแอนิเมชั่น จู๊ด บราวน์บิล ผู้เสริมว่า การจำกัดแบบนั้นเป็นเรื่องยาก กล่าว “คุณอยากจะขยับตัวละครไปรอบๆ คุณอยากจะสนุกและสร้างท่าโพสต์ใหม่ๆ สำหรับโดโรเธีย เราต้องลดทอนตรงนั้นออกมากมาย เราลบการกะพริบตาหรือการเปลี่ยนสีหน้าของเธอออกไป เพราะพลังมาจากการที่เธอไม่เคลื่อนไหวค่ะ”
บาสเซ็ทท์ ผู้ซึ่งการแสดงอันทรงพลังของเธอขับเน้นถึงความรักที่โดโรเธียมีต่อเพลงแจ๊ส ได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องราวนี้ “การได้ร่วมงานกับผู้กำกับพีทและเคมป์ของเราเป็นเรื่องวิเศษสุดค่ะ” บาสเซ็ทท์กล่าว “มันเป็นกระบวนการที่ยาวนานและใช้เวลาหลายปี ทุกครั้งที่ฉันกลับมาบันทึกเสียง ความกระตือรือร้นของพวกเขาก็ทำให้ฉันรู้สึกแบบเดียวกัน ฉันรู้สึกได้ถึงความรักที่พวกเขามีต่อเรื่องราวนี้ค่ะ
“ฉันสนใจที่ว่านี่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับจิตวิญญาณ เกี่ยวกับวิญญาณ เกี่ยวกับเนื้อแท้ของตัวเราเอง เกี่ยวกับสิ่งที่เราหวังจะทำในชีวิตของเรา” บาสเซ็ทท์กล่าวต่อ “ฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องที่มีเอกลักษณ์จริงๆ ด้วยความที่ฉันเองก็รักเพลงแจ๊สและฝันว่าอยากจะเล่นเปียโน กีตารณ์หรือเครื่องดนตรีซักชนิดเป็น ฉันก็เลยตื่นเต้นสุดๆ ที่ได้รับบทนี้ค่ะ”
“พวกเราคนทรงมาพบกันในสถานที่สุดวิจิตรนี้ทุกวันอังคาร”
มูนวินด์ เป็นผลผลิตของการตื่นรู้ช่วงวัยกลางคน ซึ่งทำให้เขาเปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนามและงานของเขาเพื่อแสวงหาชีวิตที่มีความสุขยิ่งขึ้น ตอนนี้ มูนวินด์เป็นนักถือป้ายผู้ตั้งใจทำงานอยู่ตรงมุมถนนในแมนฮัตตัน มันเป็นกิจกรรมที่ทำให้เขามีความสุข ดึงเขาเข้าสู่ภวังค์ ซึ่งทำให้เขาสามารถเดินทางด้วยจิตใจและจิตวิญญาณไปสู่สถานที่ลึกลับที่เรียกว่า ดินแดนดารา (ใกล้กับนครก่อนเกิด) ที่ซึ่งเขาได้ช่วยเหลือดวงวิญญาณหลงทางจากชีวิตที่ไร้แรงบันดาลใจและตึงเครียดของพวกเขา
ผู้อำนวยการสร้างดาน่า เมอร์เรย์เล่าว่า มีเหตุผลที่ทำให้มูนวินด์รู้เรื่องเกี่ยวกับดวงวิญญาณหลงทางมากเหลือเกิน “เขาเองก็เคยเป็นดวงวิญญาณหลงทางเหมือนกันในตอนที่เขาใช้เวลาเล่นวิดีโอเกมนานเกินไป” เธอกล่าว “แต่เขาก็ทิ้งชีวิตนั้นไว้เบื้องหลังเพื่อเสาะแสวงหาความหมายที่แท้จริงในฐานะส่วนหนึ่งของกลุ่มที่เรียกว่า คนทรงไร้พรมแดน พวกเขาคอยตามหาดวงวิญญาณที่หลงทางในทุ่งความฝันและช่วยส่งพวกเขาให้กลับไปเข้าร่างอีกครั้งค่ะ”
เกรแฮม นอร์ตัน ถูกเรียกตัวมาพากย์เสียง มูนวินด์ “เขาเป็นแรงบันดาลใจเหลือเกินค่ะ” บราวน์บิลกล่าว “เขาได้นำเสนอความเคร่งขรึมอย่างมากและคุณก็อยากจะใส่ความรู้สึกนั้นลงไปทั้งในร่างโลกมนุษย์ของเขาและตอนที่เราเห็นเขาในดินแดนดารา เขาอ่อนโยนลงเล็กน้อยในโลกจิตวิญญาณ แต่ด้วยบุคลิกที่คล้ายคลึงกันค่ะ”
บราวน์บิลกล่าวเสริมว่า แอนิเมเตอร์ได้ใช้วิดีโอการถือป้ายนับร้อยๆ เพื่อนำเสนองานบนโลกของมูนวินด์ออกมาอย่างถูกต้อง “คุณจะแปลกใจว่ามีวิดีโอพวกนี้มากแค่ไหน” เธอกล่าว “มันตลกทีเดียวล่ะค่ะ”
คณะที่ปรึกษาแห่งนครก่อนเกิดมีจำนวนหลายคน ทุกคนเป็นที่รู้จักในนามของ เจอร์รี คณะที่ปรึกษา ผู้ร่าเริง มองโลกในแง่ดี รู้ไปซะ (เกือบ) ทุกเรื่อง ได้บริหารงานสัมมนา ตัวคุณ ในแบบเดียวกับที่ปรึกษาประจำค่าย พวกเขาทะเลาะโต้เถียงกับดวงวิญญาณมนุษย์ใหม่ๆ มอบบุคลิกที่เป็นเอกลักษณ์ให้กับพวกเขาและช่วยเหลือพวกเขาในการตามหาประกายชีวิตของพวกเขา เพื่อให้พวกเขาสำเร็จการศึกษาในการลงไปโลกมนุษย์ได้สำเร็จ เจอร์รีแต่ละคนล้วนแล้วแต่แสดงสีหน้าที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง พวกเขาใช้ทั้งความอดทน ความร่าเริง และความดื้อเงียบในระดับต่างๆ กัน แต่ทุกคนล้วนแล้วแต่รักษาความกระตือรือร้นที่ไร้ขีดจำกัดที่มีต่อดวงวิญญาณภายใต้ความรับผิดชอบของพวกเขาทั้งนั้น
“พวกเขาเป็นเหมือนครูอนุบาลที่เต็มไปด้วยความอดทนอย่างล้นเหลือในการนำทางดวงวิญญาณเหล่านี้ให้ผ่านความโกลาหลของงานสัมมนา ตัวคุณ ไปให้ได้” มือเขียนบทร่วมไมค์ โจนส์กล่าว
ลุคของบรรดาที่ปรึกษาไม่ได้คิดขึ้นได้ง่ายๆ เลย ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายแอนิเมชั่น บ็อบบี้ โพเดสตา เล่าว่า คำอธิบายตัวที่ปรึกษาเป็นสิ่งที่ยกระดับมาตรฐานให้สูงขึ้น “พวกเขาพูดถึงตัวเองว่าเป็นจักรวาลที่กดตัวเองให้ทึ่มทื่อลงเพื่อให้มนุษย์เข้าใจได้” โพเดสตากล่าว “เราเริ่มต้นด้วยแรงบันดาลใจจากแหล่งที่มามากมายเช่นรูปปั้นสวีดิช ธรรมชาติ หรือแม้กระทั่งแสง แผนกศิลป์เริ่มต้นสำรวจ วาดรูปทรงต่างๆ นับครั้งไม่ถ้วน จนกระทั่งได้รูปทรงที่ให้ความรู้สึกดูเหมือนตัวละครที่สุดแต่ก็สามารถดัดแปลงได้อย่างง่ายดาย เชื่อไหมล่ะครับว่า ตัวละครตัวนั้นเกิดขึ้นจากเส้น เส้นที่มีชีวิตน่ะครับ”
นักวาดภาพเรื่องราว แอ็พตัน คอร์บินกล่าวว่า ไอเดียนี้เกิดขึ้นในห้องเรื่องราวระหว่างการระดมสมอง “พวกเขามีทั้งสองมิติและสามมิติ” เธอกล่าว “ฉันได้ทำการบิดภาพวาดพวกนี้ด้วย ประมาณว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าใบหน้าของพวกเขาดูแตกต่างจากมุมมองที่ต่างกันออกไปค่ะ”
นักวาดภาพพิกซาร์ ดีแอนนา มาร์ซิกลิส และเจอโรม แรนท์ ได้สร้างเวอร์ชัน 3D ของภาพนั้นด้วยเส้นลวด แสดงให้เห็นว่าตัวละครเหล่านั้นจะดูเป็นอย่างไรเมื่อมองจากมุมต่างๆ และอยู่ในร่างที่หลากหลาย “ในขณะที่แผนกศิลป์สำรวจความเป็นไปได้ว่าที่ปรึกษาน่าจะเป็นยังไง แอนิเมเตอร์ก็ทำแบบเดียวกัน” โพเดสตากล่าว “แอนิเมเตอร์ของเราได้อาศัยแบ็กราวน์ของพวกเขาในฐานะนักวาดภาพในการเนรมิตการแสดงที่มีภาพวิชวลที่น่าทึ่งครับ”
ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายตัวละคร ไมเคิล โคเม็ท กล่าวว่า ในการช่วยแอนิเมเตอร์ให้รังสรรค์งานศิลป์ที่โดดเด่นออกมาได้ ทีมงานของเขาได้สร้างตัวควบคุมเพิ่มเติมขึ้นมาให้กับแอนิเมเตอร์ “เราได้พัฒนาเทคโนโลยีใหม่บางอย่าง ที่สร้างเส้นโค้งแบบใหม่และทำให้พวกเขาสามารถเปิดและปิดจุดควบคุมแต่ละจุดแยกกันได้ พวกเขาสามารถสร้างรูปทรงที่ราบเรียบมากๆ ได้ เพิ่มมือ นิ้วหัวแม่มือหรือนิ้วทุกนิ้วเข้าไปได้ พวกเขามีตัวควบคุมที่ทำให้พวกเขาสามารถเพิ่มความคมหรือเพิ่มเหลี่ยมมุมเข้าไปได้ด้วยครับ”
โพเดสตากล่าวเสริม ด้วยการท่องคติของพิกซาร์ที่มักมีคนอ้างถึงว่า “ศิลปะท้าทายเทคโนโลยี และเทคโนโลยีก็สร้างแรงบันดาลใจให้ศิลปะครับ”
ผู้อำนวยการสร้างบริหาร แดน สแกนลอนกล่าวว่า ผลลัพธ์ที่ได้เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงพลังของความสามัคคีและแนวทางที่พิกซาร์ยังคงสร้างความประหลาดใจให้กับผู้ชม หรือแม้กระทั่งตัวเขา อย่างต่อเนื่อง “ทีมงานมีความอุตสาหะในการสร้างตัวละครที่ค้านกับเหตุผล แต่ก็ยังคงเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์และบุคลิกเฉพาะตัว ครั้งแรกที่ผมได้ดูหนังเรื่องนี้ ที่นำเสนอตัวละครสามมิติในงานสัมมนา ตัวคุณ ในรูปแบบภาพเคลื่อนไหว ตัวผมและคนอื่นๆ ที่นั่งอยู่ในโรงหนังก็อุทานออกมาเลย ผมไม่เคยเห็นแอนิเมชั่น 2D ประเภทนั้นที่ถูกสร้างออกมาในแบบ 3D แบบนั้นมาก่อน และการได้ดูสิ่งที่คุณไม่เคยดูมาก่อนเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมดูหนังครับ”
มีที่ปรึกษาห้าคน ซึ่งทุกคนถูกเรียกว่าเจอร์รี ผู้ที่พากย์เสียงบรรดาเจอร์รีได้แก่อลิซ บรากา, ริชาร์ด อโยเอด, เวส สตูดี้, ฟอร์จูน เฟมสเตอร์และซีโนเบีย ชรอฟฟ์
“เลิกนับเถอะ”
เทอร์รี เป็นสมาชิกที่พิลึกพิลั่นของทีมงานในนครก่อนเกิด เธอได้รับหน้าที่หนึ่งเดียวในการคอยเก็บข้อมูลผู้เข้าสู่นครก่อนเกิด เจอร์รีแต่ละคนพยายามอย่างดีที่สุดที่จะอดทนกับเทอร์รี ผู้ซึ่งความหมกมุ่นกับการนับของเธออาจเป็นเรื่องน่ารำคาญได้ โดยเฉพาะในตอนที่มันถูกยกเลิกไป ดังนั้น ในตอนที่โจ การ์ดเนอร์เถลไถลไปยังนครก่อนเกิด เทอร์รีก็มุ่งมั่นที่จะทำให้ทุกสิ่งกลับมาเข้าร่องเข้ารอยอีกครั้ง
“เทอร์รีเป็นคนจริงจังเกินไปครับ” ผู้กำกับร่วมเคมป์ พาวเวอร์สกล่าว “ผมสงสัยว่าเธอน่าจะเป็นที่ปรึกษา แต่พวกเจอร์รีไม่ค่อยอยากจะข้องเกี่ยวกับเธอ พวกเขาก็เลยมอบหน้าที่พิเศษนี้กับเธอเพื่อทำให้เธอไม่ว่างน่ะครับ”
ราเชล เฮาส์ พากย์เสียง เทอร์รี “ฉันหลงเสน่ห์เธอมากๆ เลยค่ะ” ผู้อำนวยการสร้างดาน่า เมอร์เรย์กล่าว “เธอกลายเป็นตัวร้ายที่เพอร์เฟ็กต์เลยค่ะ”
“ตรงๆ เลยนะ ชั้นเรียนของครูเป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้ผมไปโรงเรียน”
เคอร์ลีย์ เป็นหนึ่งในอดีตนักเรียนของโจ การ์ดเนอร์ ผู้หล่อเลี้ยงความรักที่มีต่อดนตรีของเขาไปจนถึงตอนโต ก่อนจะคว้าตำแหน่งในวงดนตรีแจ๊สของโดโรเธีย วิลเลียมส์ ที่หลายคนหมายปองได้สำเร็จ มือกลองที่ประสบความสำเร็จผู้นี้ ไม่เคยลืมเลือนครู/นักเปียโนแจ๊สคนโปรดของเขาเลย ดังนั้น เมื่อมีโอกาสหานักเปียโน เคอร์ลีย์เลยยื่นโอกาสการออดิชันครั้งสำคัญในชีวิตให้กับโจ
อาห์เมียร์ “เควสท์เลิฟ” ธอมป์สัน พากย์เสียง เคอร์ลีย์ แต่งานของเขาในภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้จบลงตรงนั้น “เควสท์เลิฟได้มีบทบาทสำคัญในเรื่องของดนตรีค่ะ” ผู้อำนวยการสร้างดาน่า เมอร์เรย์กล่าว “เขาเป็นเหมือนเอ็นไซโคลปิเดียเรื่องดนตรีเลยค่ะ”
เควสท์เลิฟกล่าวว่า “หนึ่งในช่วงเวลาที่ผมภาคภูมิใจที่สุดในการทำงานในหนังเรื่องนี้คือตอนที่พวกเขามาขอคำแนะนำเรื่องดนตรีกับผม คำตอบของผมก็เหมือนกับที่ผมตอบทุกๆ คนนั่นคือผมสร้างเพลย์ลิสต์ขึ้นมา ผมได้สร้างเพลย์ลิสต์เพลงมากมายที่ผมรู้สึกว่าน่าจะเปิดเป็นแบ็คกราวน์ได้ขึ้นมาครับ
“สำหรับฉากร้านตัดผม ผมรู้สึกเหมือนเพลงฮิปฮ็อปยุค 90s คลาสสิกครับ” เควสท์เลิฟกล่าวต่อ “ในร้านค้าอย่างร้านตัดผม เจ้าของธุรกิจนั้นอาจจะอายุซัก 30 หรือ 40 ปี พวกเขามักจะยึดติดกับสิ่งที่พวกเขาชื่นชอบตอนอายุ 15-23 ดังนั้น ตอนที่คุณเข้าไปในร้านค้าพวกนั้น คุณก็จะได้ฟังเพลงจาก 20, 25 ปีที่แล้ว ผมชื่นชอบการรำลึกถึงความหลังครับ ไม่ว่าคุณจะสร้างเพลย์ลิสต์เมื่อไหร่ คุณเรียกหาผมได้เลยครับ”
เดซ เป็นช่างตัดผมขาประจำของโจและเป็นผู้รับฟังมืออาชีพด้วย เดซ ผู้เป็นมิตรด้วยรอยยิ้มอบอุ่นและอารมณ์ขัน รู้จักโจมาหลายปีแล้ว เขายินดีปล่อยให้ลูกค้าของเขาพูดคุยทุกเรื่องตามที่เขาต้องการ ซึ่งแน่นอนว่าสำหรับโจ มันคือแจ๊ส
“เดซเป็นคนที่สามารถมีความสุขได้กับการทำอะไรก็ตาม” สมาชิกหลักของทีมเรื่องราว เทรเวอร์ ฮิมิเนซกล่าว “เขาเป็นมากกว่าช่างตัดผม มันมีความเป็นศิลปะในสิ่งที่เขาทำ และเขาก็นำความสุขมาสู่คนในชีวิตเขา”
ดอนเนล รอว์ลิงส์ พากย์เสียง เดซ “เขาเป็นนักแสดงตลกค่ะ” เมอร์เรย์กล่าว “เรารักเสียงของเขา ความแหบห้าวแบบนั้นช่างเข้ากับการออกแบบตัวละครตัวนี้พอดิบพอดีเลยค่ะ”
พอล เป็นหนุ่มช่างประชดประชันบ้านใกล้เรือนเคียง ที่มักจะปรากฏตัวอยู่ที่ร้านตัดผมในท้องถิ่นบ่อยๆ แม้ว่าเขามักจะงัดข้อกับโจบ่อยๆ แต่ปกติแล้วพอลก็มักพูดจาในแง่ลบหรือเสียดสีแทบทุกคนที่เดินเข้ามาในร้าน แบบว่าถ้ามีใครฟังที่เขาพูดน่ะนะ
เดวีด ดิกส์ พากย์เสียง พอล และรับหน้าที่ที่ปรึกษาทางวัฒนธรรมให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย “ผมเป็นหนึ่งในหลายๆ คนที่ได้ดูเวอร์ชันแรกๆ ของหนังเรื่องนี้และได้เสนอความคิดเห็นของผมไปด้วย” ดิกส์กล่าว “พวกเขาถกประเด็นกันนานมากๆ และทุกคำก็จะถูกจดบันทึกเอาไว้ แล้วก็จะมีการตั้งคำถามตามมาด้วย เป็นเรื่องน่าประทับใจจริงๆ ที่ได้เห็นความใส่ใจที่พวกเขาใช้ในความพยายามที่จะรังสรรค์ผลงานชิ้นนี้ขึ้นมาและทำให้แน่ใจว่าพวกเขาได้รับฟังความคิดเห็นจากผู้คนที่หลากหลายน่ะครับ
“พวกเขามุ่งมั่นกับการทำให้โจสมจริงมากๆ ครับ” ดิกส์กล่าว “ทุกคนในหนังเรื่องนี้อาจเป็นคนจริงๆ ก็ได้ การเป็นคนผิวดำมีได้หลายรูปแบบ ในแอนิเมชั่น คุณเสี่ยงกับการสร้างสิ่งที่จะให้ความรู้สึกเหมือนเป็นภาพล้อและบอกว่า ‘นี่คือคนผิวดำ’ แต่ในหนังเรื่องนี้จะมีประสบการณ์ที่หลากหลายจริงๆ ครับ”
มิสเตอร์มิทเทนส์ เป็นแมวบำบัดที่ใช้เวลาไปกับการร้องคราง นอนเกลือกลิ้งและปลอบประโลมใจผู้ป่วยในห้องพักในโรงพยาบาลของพวกเขา แมวแสนเชื่องตัวนี้ถูกวางตัวให้ช่วยเหลือโจ การ์ดเนอร์ในตอนที่เขาต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลหลังอุบัติเหตุฟาดเคราะห์ของเขา แม้ว่าจะทำงานได้ดีแค่ไหน แต่มิทเทนส์ก็กลับไปอยู่ผิดที่ผิดเวลา จนทำให้ต้องออกผจญภัยอย่างไม่คาดฝัน
ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายแอนิเมชั่น บ็อบบี้ โพเดสตากล่าวว่า พิกซาร์ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญเข้ามาคุยถึงเรื่องกายภาพและการเคลื่อนไหวของแมว “เราได้เรียนรู้ว่าพวกมันมีความยืดหยุ่นอย่างมาก พวกมันสามารถทำอะไรได้มากมายด้วยขาและข้อเท้าน่ะครับ” เขากล่าว “มิสเตอร์มิทเทนส์ไม่เคยเคลื่อนไหวในแบบที่แมวจริงๆ ทำไม่ได้ มันเป็นเรื่องสำคัญที่เราจะต้องสร้างความสมจริงให้กับตัวละครตัวนี้ครับ”
ความท้าทายอย่างหนึ่งสำหรับมิสเตอร์มิทเทนส์คือการจำลองสัตว์ตัวนี้ขึ้นมาในสภาพแวดล้อมของโรงพยาบาล ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายซิมูเลชัน ทิฟฟานี อีริคสัน คลอห์น เล่าว่า ซีเควนซ์โรงพยาบาล ที่มีสายระโยงรยางค์ ผ้าม่าน ผ้าห่ม หมอนและแมวขนฟูสวมเสื้อกั๊ก เป็นฉากที่ซับซ้อน “ฉากนี้ถูกออกแบบมาอย่างดี มันไม่ใช่ว่าจะต้องสะอาดและเพอร์เฟ็กต์ ผ้าห่มอาจยับยู่ยี่ และมีเท็กซ์เจอร์ โดยมีแมวเดินอยู่ด้านบน เราได้ผสมผสานซิมูเลชันของปริมาตร ผิวหนัง เสื้อผ้าและเส้นขนเพื่อทำให้องค์ประกอบเหล่านั้นมีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน และเพิ่มการกระเพื่อมของพุงเข้าไป”
“ฉันเป็นดอกไม้ริมทางขี้หงุดหงิดที่มีความอยากรู้อยากเห็นแบบสุดๆ ไปเลย”
ดวงวิญญาณใหม่ เป็นพวกหน้าใหม่ ดวงตาสีม่วง ขี้สงสัย พวกเขาอยู่ในสภาวะว่างเปล่าและต้องออกปฏิบัติภารกิจในการค้นหาอัตลักษณ์ของตัวเอง จากเคหาสน์บุคลิกไปสู่ห้องโถงทุกสรรพสิ่ง ดวงวิญญาณใหม่จะรับเอาลักษณะที่พวกเขาจะแสดงออกมาบนโลกมนุษย์ไป การตามหาประกายชีวิตของพวกเขาเป็นขั้นตอนสุดท้ายสำหรับดวงวิญญาณใหม่ทุกดวง ก่อนที่พวกเขาจะได้รับบัตรผ่านไปสู่โลกมนุษย์และเริ่มต้นชีวิตในฐานะมนุษย์ อย่างไรก็ดี สำหรับดวงวิญญาณใหม่ๆ การหาประกายชีวิตนั้นเป็นเรื่องที่พูดง่ายกว่าทำ
“ดวงวิญญาณใหม่เพิ่งถือกำเนิดใหม่ขึ้นจากจักรวาล ดังนั้น ดวงวิญญาณพวกนี้จึงเล็กจิ๋วที่สุด” ผู้ออกแบบงานสร้าง สตีฟ พิลเชอร์กล่าว “พวกเขาถูกออกแบบมาให้ดูเหมือนกับเด็กทารก ที่จะมีรูปลักษณ์ไม่เด่นชัดเท่ากับดวงวิญญาณของบรรดาพี่เลี้ยงทั้งหลาย เพราะพวกเขาไม่เคยได้สัมผัสกับชีวิตบนโลกมนุษย์ในร่างกายมาก่อน พวกเขามีรูปทรงเรียบง่ายเหมือนหลอดไฟ และไม่มีแขนหรือขาเป็นการถาวรครับ”
พิลเชอร์กล่าวว่า อย่างไรก็ดี คอนเซ็ปต์เรียบง่ายนั้นกลับเป็นเรื่องหลอกลวง “ดวงวิญญาณทุกดวงจะกึ่งทึบแสงและมีความพร่ามัว เพื่อบ่งบอกถึงคุณสมบัติความเป็นวิญญาณ ที่เหนือธรรมชาติ ไม่สามารถจับต้องได้ อ่อนนุ่มและเป็นราวอากาศธาตุ” เขากล่าว “แม้ว่าแบบดีไซน์ของพวกเขาจะเรียบง่าย แต่พวกเขากลับมีความซับซ้อนในแง่ของพื้นผิว การให้แสงและเอฟเฟ็กต์ครับ”
ทีมผู้สร้างไม่ต้องการให้ตัวละครในนครก่อนเกิดดูเหมือนผี ผู้กำกับภาพเอียน เมกิ๊บเบนได้ร่วมมือกับพิลเชอร์และกลุ่มนักวาดภาพเพื่อหาคำตอบว่ามันจะเป็นอย่างไรและจะสร้างมันขึ้นมาได้อย่างไร “เรามีผู้กำกับเทคนิคจากหลายๆ สาย ทั้งเอฟเฟ็กต์ แผนกตัวละคร ฉากและแสง มารวมตัวกันเพื่อหาวิธีการทำให้ตัวละครพวกนี้เวิร์คครับ” เมกิ๊บเบนกล่าว
“เราดูสายรุ้งและปริซึม ก้อนหินและแร่ธาตุ รวมถึงกระจกสีเหลือบด้วย”
ผลลัพธ์ที่ได้คือตัวละครที่มีลักษณะปริซึมในแบบที่เหมาะกับโลกที่พวกเขาอาศัยอยู่ “ในตอนที่แสงถูกหักเหด้วยร่างของตัวละคร” พิลเชอร์กล่าว “คุณจะได้เห็นแสงอบอุ่น ทั้งสีแดง ส้ม เหลือง ผ่านทะลุไปเจอกับด้านที่เย็น ที่อยู่ภายใต้เงา ซึ่งเป็นสีฟ้าแบบท้องทะเลลึก และในตอนที่สีทั้งสองด้านมาพบกันตรงกลาง มันก็จะผสานกลืนกันไปอย่างงดงามครับ”
อย่างไรก็ดี มีความท้าทายอย่างหนึ่งเกิดขึ้นจากขอบที่นุ่มนวลของตัวละคร ทีมผู้สร้างตระหนักได้ว่าจะมีบางสถานการณ์ที่พวกเขาต้องการจะยกระดับความชัดเจนขึ้นมา “เราพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ที่ทำการตรวจหาขอบขึ้นมาครับ” ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายตัวละคร ไมเคิล โคเม็ทกล่าว “แอนิเมเตอร์มีตัวควบคุมที่จะแสดงให้เห็นถึงเส้นขอบมือในกรณีที่มันอยู่ตรงหน้าตัวละครอีกตัวหรือสัมผัสอะไรบางอย่างน่ะครับ”
ทีมงานที่ดูแลเรื่องฝูงชนเองก็เจอกับความท้าทายเช่นกัน “เราต้องหาวิธีจัดการกับกลุ่มตัวละครที่มีมิติกลุ่มใหญ่พวกนี้” ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายเทคนิคฝูงชน ไมเคิล ลอเรนเซนกล่าว “มีเทคโนโลยีมากมายที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อทำให้ทุกอย่างเวิร์ค การเรนเดอร์มิติพวกนี้หนักหนากว่าเยอะ และต้องใช้เวลาเรนเดอร์มากกว่า เราได้ทำการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในแง่ของการทำงานโดยที่คุณอาจจะไม่สังเกตเห็นครับ”
เหล่าพี่เลี้ยง ถูกเรียกตัวมายังนครก่อนเกิดเพื่อช่วยเหลือดวงวิญญาณใหม่ๆ ในการตามหาประกายชีวิต บรรดาที่ปรึกษาได้จับคู่พี่เลี้ยงกับดวงวิญญาณใหม่ๆ มารุ่นแล้วรุ่นเล่า “พวกเขาได้ร่วมมือกับบุคคลที่มีชื่อเสียงอย่างอับราฮัม ลินคอล์น, มหาตะมะ คานธี, อริสโตเติล, ค็อปเปอร์นิคัส, มารี อังตัวเน็ตต์ และคนอื่นๆ ครับ” เทรเวอร์ ฮิมิเนซ สมาชิกหลักทีมเรื่องราวกล่าว “พวกเขาสามารถพาดวงวิญญาณเหล่านั้นไปที่ห้องโถง ตัวคุณ ที่ซึ่งพี่เลี้ยงจะฉายภาพชีวิตของเขาหรือเธอเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับดวงวิญญาณใหม่น่ะครับ”
ตามปกติแล้ว ด้วยความชาญฉลาดและประสบการณ์ชีวิตของพวกเขา บรรดาพี่เลี้ยงสามารถผลักดันดวงวิญญาณใหม่ให้ไปสู่โลกมนุษย์ได้อย่างปลอดภัยและมีความสุข แต่ ทเวนตี้ทู ดวงวิญญาณใหม่ดวงหนึ่งกลับไม่ให้ความร่วมมือ แม้ว่าจะได้รับความช่วยเหลือจากพี่เลี้ยงหลายๆ คนก็ตาม ในตอนที่โจ การ์ดเนอร์พบตัวเองอยู่ในนครก่อนเกิด เขาก็ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นพี่เลี้ยงและท้ายที่สุดแล้ว ก็ถูกจับคู่กับ ทเวนตี้ทู
“ปกติแล้ว เราจะเน้นคุณลักษณะที่โดดเด่นบางอย่าง เช่นทรงผมหรือสิ่งที่พวกเขาสวมใส่บนโลก เพื่อแบ่งแยกพี่เลี้ยงออกจากดวงวิญญาณใหม่” พิลเชอร์กล่าว พลางเสริมว่าประสบการณ์ชีวิตของเหล่าพี่เลี้ยงก็ทำให้พวกเขามีสีตาและแขนขาแบบบนโลกมนุษย์ด้วยเช่นกัน
ดวงวิญญาณหลงทาง ได้เร่ร่อนอยู่ในดินแดนดาราขณะที่ร่างบนโลกมนุษย์ของพวกเขาพยายามดิ้นรนที่จะเป็นอิสระจากความหมกมุ่น “บางคนหลงอยู่กับสิ่งที่อาจจะไม่ใช่เรื่องเลวร้าย เช่นการทำอาหาร วิดีโอเกม ศิลปะ” ผู้กำกับพีท ด็อกเตอร์กล่าว “แต่ถ้าคุณทำมันจนไม่แยแสสิ่งอื่นๆ ในชีวิต คุณก็อาจกลายเป็นดวงวิญญาณหลงทางได้”
ผู้กำกับร่วมเคมป์ พาวเวอร์สกล่าวเสริมว่า “ในตอนที่ดวงวิญญาณหลงทางได้รับการเยียวยาและกลับไปเชื่อมโยงกับร่างของเขาหรือเธออีกครั้ง คนบนโลกก็จะเกิดการตื่นรู้ขึ้นมา เหมือนกับการได้รับการปลดปล่อยทางอารมณ์น่ะครับ”
พิลเชอร์กล่าวว่า ลุคของดวงวิญญาณหลงทางแสดงให้เห็นถึงคุกทางจิตใจที่เกิดจากตัวเอง “พวกเขาถูกปกคลุมไปด้วยผงประกายดาวสีน้ำเงินเข้มที่เหมือนกับทราย ที่ประกอบตัวขึ้นเป็นดินแดนดาราครับ” พิลเชอร์กล่าว “ดวงวิญญาณจะถูกห่อหุ้มด้วยรูปทรงที่คล้ายกับเปลือก ที่มีขนาดใหญ่กว่าและค่อนข้างจะเอื่อยเฉื่อย ทำให้ไม่สามารถแสดงสีหน้าท่าทางได้อย่างเป็นอิสระครับ”
ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายตัวละคร หลิงจุนยี่กล่าวว่า พวกเขาได้ร่วมมือกับทีมฉากและแสงเพื่อพัฒนาเครื่องมือลงเงาเม็ดทรายสำหรับดวงวิญญาณหลงทาง “ตัววัสดุจะมีลักษณะโปร่งแสงและระยิบระยับในแบบที่เหนือธรรมชาติ” หลิงกล่าว “มันมีการกระจายตัวใต้พื้นผิว แทบจะเหมือนว่ามันมีประกายวูบวาบอยู่เลยล่ะครับ เราอยากให้ประกายแบบนั้นเป็นภาพที่มีความสม่ำเสมอ”
–
นครใหญ่และดินแดนไกลโพ้น
ทีมผู้สร้างสร้างโลกที่แตกต่างกันสองแห่ง: จากมหานครนิวยอร์กที่ตระการตา สู่ดินแดนห้วงจักรวาลเหนือธรรมชาติ
“Soul” มีเรื่องราวเกิดขึ้นในโลกที่สมบูรณ์สองแห่ง นั่นคือมหานครนิวยอร์ก และโลกในจินตนาการของนครก่อนเกิด “ในหลายๆ แง่มุม เราได้สร้างหนังสองเรื่องที่แตกต่างกันค่ะ” ผู้อำนวยการสร้างดาน่า เมอร์เรย์กล่าว “แต่ละโลกจะต้องถูกพัฒนาขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ด้วยสไตล์ของตัวเอง เพราะพวกมันจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง มหานครที่วุ่นวายและดินแดนเหนือธรรมชาติในจินตนาการ แต่ทั้งสองแห่งก็จะทำให้คุณลืมหายใจไปเลยค่ะ”
ผู้กำกับพีท ด็อกเตอร์เลือกใช้อัตราส่วนภาพ 2.39 สำหรับ “Soul” และทำให้นี่เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของเขาที่เป็นเช่นนั้น “เขาตื่นเต้นกับความเป็นไปได้ที่เกิดจากองค์ประกอบภาพและความเป็นหนังของอัตราส่วนภาพแบบไวด์สกรีนครับ” ผู้กำกับภาพแมทท์ แอสพ์เบรีกล่าว “เขารู้สึกว่าอาณาบริเวณที่กว้างใหญ่ไพศาลของนครก่อนเกิดจะถูกนำเสนอออกมาได้ดีที่สุดด้วยวิธีนั้นครับ”
“นี่คือมหานครนิวยอร์ก! เธอจะต้องไม่หยุดกลางถนน ไปสิ ไป!”
นิวยอร์ก ซิตี้
ทีมผู้สร้างตั้งใจที่จะสร้างเรื่องราวของ “Soul” ในเมืองที่เป็นที่จดจำได้ เพื่อปูพื้นความสมจริงให้กับส่วนนั้นของภาพยนตร์เรื่องนี้ “พอเราเลือกแจ๊ส เราก็เริ่มสำรวจนิวยอร์ก ซิตี้ครับ” ด็อกเตอร์กล่าวต่อ “แม้ว่าแจ๊สจะไม่ได้มีต้นกำเนิดมาจากที่นั่น แต่นิวยอร์กก็เป็นเมืองหลวงของดนตรีแจ๊สในอเมริกา มันเป็นศูนย์กลางวัฒนธรรม ที่เต็มไปด้วยผู้อพยพและอิทธิพลต่างๆ จากทั่วโลก มันเป็นสถานที่ที่รุ่มรวยและมีชีวิตชีวาที่จะสร้างหนังขึ้นมาครับ”
ผู้กำกับร่วมเคมป์ พาวเวอร์สเล่าว่า ความเชื่อมโยงระหว่างมหานครแห่งนี้กับแจ๊สทรงพลังยิ่งนัก “แจ๊สเป็นรูปแบบศิลปะที่มีความเป็นอเมริกันอย่างพิเศษสุด และนิวยอร์ก ซิตี้ก็เป็นหนึ่งในสถานที่ที่มีประวัติศาสตร์แจ๊สชัดเจนที่สุด นักดนตรีที่โด่งดังที่สุดหลายคนเป็นที่รู้จักจากการแสดงของพวกเขาในนิวยอร์ก ซิตี้ครับ
“แต่มันไม่ใช่เรื่องของดนตรีเท่านั้น” พาวเวอร์ส ผู้เติบโตขึ้นมาในมหานครแห่งนี้ กล่าว “มันเป็นเรื่องของความมีชีวิตชีวาของโลกใบนั้น ‘Soul’ เป็นเรื่องเกี่ยวกับความหมายของชีวิตและความผูกพันที่เราสร้างระหว่างกันและกัน ในนิวยอร์ก ผู้คนเดินชนกันไปมา ความหลากหลายปรากฏเห็นเด่นชัดในถนนทุกสาย ไม่มีที่ไหนเหมือนที่นี่จริงๆ ครับ”
พาวเวอร์สกล่าวเสริมด้วยว่า ลักษณะที่นิวยอร์ก ซิตี้ถูกถ่ายทอดและสถานที่ต่างๆ ที่ปรากฏในภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นสิ่งสำคัญมากๆ สำหรับเขา “คุณสามารถทำอะไรกลางๆ แต่ก็มีความเฉพาะเจาะจงอย่างเหลือเชื่อได้เหมือนกัน” เขากล่าว “เป็นเรื่องสำคัญจริงๆ ที่นิวยอร์กจะเป็นเมืองหม้อหลอมใบใหญ่ แต่ก็เป็นเรื่องสำคัญด้วยเหมือนกันที่โจจะสามารถผ่านพื้นที่ของคนผิวดำไปได้ ผมคิดว่ามันจะมีส่วนช่วยในเรื่องความสมจริงทางวัฒนธรรมของตัวละครตัวนี้และทำให้ทั้งเรื่องมีชีวิตชีวาขึ้นมาครับ”
ทีมผู้สร้างต้องการให้อาคารต่างๆ ในนิวยอร์ก ซิตี้ให้ความรู้สึกสมจริง ซึ่งหมายความว่าพวกมันไม่อาจจะมีสภาพใหม่เอี่ยมและสมบูรณ์แบบได้ ผู้ออกแบบงานสร้างสตีฟ พิลเชอร์กล่าวว่า โลกของมนุษย์จะต้องสะท้อนถึงประสบการณ์ในนิวยอร์ก ซิตี้ออกมา “มันจับต้องได้ แข็งแรงและมีเงาสะท้อน อีกทั้งยังมีสีออกไปโทนน้ำตาล” เขากล่าว “มันเป็นการบ่งบอกถึงประวัติศาสตร์ของเองผ่านทางริ้วรอยแห่งชีวิตที่งดงาม ตึกรามบ้านช่อง รั้วทางเดินและทางเดินเท้าถูกกัดกร่อนไปตามปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ ไม่มีอะไรที่สมบูรณ์แบบในโลกใบนี้ มันมีความน่าสนใจและเป็นธรรมชาติมากๆ ความแตกต่างระหว่างโลกมนุษย์และโลกจิตวิญญาณเป็นแนวทางหลักสำหรับการตัดสินใจด้านวิชวลทั้งหมดของเราครับ”
บริน อิเมจิเร ผู้กำกับศิลป์ฝ่ายเงาต้องการให้อายุและประวัติศาสตร์ของเมืองแห่งนี้ปรากฏชัด “เราคุยกันว่าตึกน่าจะเก่าแค่ไหน มันจะต้องเคยถูกทาสีทับหลายชั้นแค่ไหน มีแหล่งแร่ หรือขี้นกมากแค่ไหน ทุกอย่างช่วยเสริมมิติให้กับเมืองแห่งนี้ทั้งนั้นค่ะ” เธอกล่าว “นี่เป็นเรื่องราวชีวิตของโจและการเคลื่อนผ่านของเวลา เป็นเรื่องสำคัญจริงๆ ที่จะต้องทำให้ฉากพวกนี้ถ่ายทอดความรู้สึกแบบนี้ออกมาให้ได้”
เท็กซ์เจอร์ คราบสกปรก และริ้วรอยอายุเป็นสิ่งที่แสดงความตรงข้ามกับนครก่อนเกิดได้อย่างสมบูรณ์แบบ ผู้กำกับภาพแมทท์ แอสพ์เบรีได้พิจารณาถึงความแตกต่างนั้นตั้งแต่ช่วงเริ่มแรกของงานสร้าง “เรารู้ว่าเราต้องการจะถ่ายทำโลกทั้งสองใบแตกต่างกัน” เขากล่าว “เราได้รับแรงบันดาลใจจากหนังยุค 70s ที่ใช้เลนส์ยาวสำหรับซีเควนซ์นิวยอร์ก ในแง่ของการบิดภาพ ความผิดเพี้ยนของสี เราชื่นชอบลุคและความรู้สึกแบบนั้นครับ”
“นิวยอร์กมีรายละเอียดมากเหลือเกิน มันให้ความรู้สึกที่จับต้องได้” แอสพ์เบรีกล่าวต่อ “ดังนั้น เราก็เลยถ่ายทำด้วยเลนส์ที่ยาวกว่าและใช้มิติแบบตื้นๆ กับหลายๆ ช็อตเพื่อทำให้แน่ใจว่าโฟกัสจะอยู่กับตัวละครของเรา”
ทีมงานของแอสพ์เบรีใช้แพ็คเกจเลนส์อนามอร์ฟิคเพื่อสะท้อนถึงลุคของภาพยนตร์ไลฟ์แอ็กชันคลาสสิกที่เป็นแรงบันดาลใจของพวกเขา พวกเขาได้ใส่ความวุ่นวายเข้าไปในกล้องเพื่อรองรับซีเควนซ์ที่โจเร่งรีบไปในเมืองและช็อตที่แสดงให้เห็นถนนที่เนืองแน่น
ในความเป็นจริงแล้ว องค์ประกอบสำคัญของช็อตเมืองคือผู้คน “เมืองใหญ่อย่างนิวยอร์กต้องมีผู้คนมหาศาลเคลื่อนตัวในแบบพิเศษ” ไมเคิล ลอเรนเซน ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายเทคนิคฝูงชนกล่าว “เราคิดเรื่องราวเล็กๆ มากมายขึ้นมาเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในแบ็คกราวน์ครับ”
กิโยม ชาร์เทียร์ ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายแอนิเมชั่นฝูงชนกล่าวเสริมว่า “เราต้องการให้ฝูงชนของเราเหมือนกับผู้คนในนิวยอร์ก ซิตี้ ตรงที่พวกเขาจะมีความหลากหลายในทุกๆ ทางครับ”
ปริมาณของตัวละครแบ็คกราวน์จำเป็นต้องอาศัยเครื่องแต่งกายจำนวนมาก ทิฟฟานี อีริคสัน คลอห์น ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายซิมูเลชัน กล่าว “พวกมันเป็นเสื้อผ้าสำหรับตัวละครฝูงชนที่ซับซ้อนที่สุดเท่าที่เราเคยตัดเย็บขึ้นมา เรามีตัวละครฝูงชนที่เป็นผู้ใหญ่ 208 คน มีวัยรุ่น 16 คน และเด็กสี่คน เราได้สร้างชุดต่างๆ ขึ้นมา 60 ชิ้น เพื่อจับมาผสมกันให้ได้กว่า 100 ชุด เราให้ตัวละครสวมเสื้อยืด เสื้อฮู้ด แจ็คเก็ตตัวยาว ผ้าพันคอยาวเฟื้อย ไว้ผมยาว เยอะไปหมดเลยค่ะ”
ทีมผู้สร้างยังได้ใส่ทัศนคติแบบนิวยอร์กเล็กๆ เข้าไปในตัวละครฝูงชนด้วย “มีซีเควนซ์ในตอนต้นเรื่องที่โจวิ่งไปออดิชัน” ชาร์เทียร์กล่าว “เขาต้องหลบหลีกผู้คนมากมาย ฉันถามพีท [ด็อกเตอร์] ว่าเขาอยากให้คนมีปฏิกิริยาด้วยรึเปล่า และเขาก็ตอบว่า ‘ไม่ล่ะ คนพวกนี้เป็นชาวนิวยอร์ก ไม่มีอะไรสั่นคลอนพวกเขาได้หรอก’ น่ะค่ะ”
ผู้กำกับศิลป์ฝ่ายเงา บริน อิเมจิเรเล่าว่า ฉากพวกนั้นจำนนากก็ยังจะต้องถ่ายทอดความโกลาหลออกมาในระดับหนึ่ง “แม้ว่าเรามักจะเห็นชาวนิวยอร์กสวมชุดสีดำ เราก็พยายามจะใส่สีลงไปในชุดเยอะๆ ค่ะ” อิเมจิเรกล่าว “นั่นทำให้การเคลื่อนไหวของคนพวกนี้เป็นเหมือนเสียงดนตรีสำหรับฉันค่ะ”
ร้านตัดผม
“ไม่มีสถานที่ไหนในชุมชนคนผิวดำที่จะมีความจริงแท้ทางวัฒนธรรมมากไปกว่าร้านตัดผมอีกแล้วครับ” ผู้กำกับร่วมเคมป์ พาวเวอร์สกล่าว “ในหลายๆ แง่มุมแล้ว มันเป็นศูนย์กลางเมือง โดยเฉพาะสำหรับคนผิวดำ “มันเป็นสถานที่ที่คนพวกนี้ ไม่ว่าจะประกอบอาชีพอะไร มารวมตัวกันครับ”
ทีมผู้สร้างได้ไปเยี่ยมชมร้านตัดผมหลายร้านเพื่อบันทึกลุคและความรู้สึกของสถานที่สำคัญนี้ และได้ตั้งข้อสังเกตเอาไว้หลายอย่าง “ร้านตัดผมมักจะเป็นพื้นที่แคบๆ เนื่องจากที่ดินในนิวยอร์กมีราคาสูงระยับครับ” ผู้กำกับศิลป์ฝ่ายฉาก พอล อบาดิลลากล่าว “นอกจากนี้ เรายังสังเกตเห็นสิ่งหนึ่งที่เป็นตัวแยกช่างตัดผมออกจากช่างแต่งผมด้วย ตอนที่พวกเขาทำงาน ลูกค้าของพวกเขาจะหันหน้าออกจากกระจก ไปหาลูกค้าที่รอคิวอยู่ ซึ่งกระตุ้นให้เกิดการพูดคุยและช่วยเสริมสร้างความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกันด้วยครับ”
สำหรับพาวเวอร์ส ฉากร้านตัดผมยังเป็นตัวแทนของความสำเร็จด้านเทคโนโลยีอีกด้วย “พิกซาร์ แอนิเมชั่น สตูดิโอเคยเรนเดอร์สิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจมาแล้วหลายอย่างในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ตั้งแต่ขนใน ‘Monsters, Inc.’ ไปจนถึงน้ำใน ‘Finding Nemo’” เขากล่าว “แต่โดยส่วนตัวแล้ว ไอเดียของการเรนเดอร์ปอยผมสีดำ ซึ่งมีเท็กซ์เจอร์และสีสันที่เหลือเชื่อมากมายก็เป็นโอกาสที่เย้ายวนใจเกินกว่าที่จะไม่ให้มันกลายเป็นอุปกรณ์ชิ้นสำคัญสำหรับหนังเรื่องนี้ครับ”
ร้านตัดเย็บเสื้อผ้าของลิบบา
ความสัมพันธ์ระหว่างโจและแม่ของเขางอกเงยขึ้นมาในร้านตัดเย็บเสื้อผ้าของเธอ และถูกเพิ่มเติมสีสันโดยบรรดาป้าๆ กิตติมศักดิ์ สิ่งแวดล้อมสำคัญนั้นจะต้องสะท้อนภาพตัวลิบบาและเน้นย้ำเรื่องราวที่ว่าร้านของลิบบาเป็นสิ่งที่หล่อเลี้ยงครอบครัวในตอนที่พ่อผู้เป็นนักดนตรีของโจไม่มีงานทำ “มีความหลังมากมายที่นั่นครับ” ผู้ออกแบบงานสร้าง สตีฟ พิลเชอร์กล่าว “ความรักที่ลิบบามีต่อสีสันและงานฝีมือกับเนื้อผ้าปรากฏชัดในทุกหนทุกแห่ง รวมถึงความรักที่เธอมีต่อขนบธรรมเนียมและครอบครัวครับ”
ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายฉาก จุนฮันโช กล่าวว่า “เราต้องการทำให้แน่ใจว่าลุคสำหรับร้านของเธอจะมีความสมเหตุสมผลทางวัฒนธรรม ด้วยสีสันจัดจ้านและรูปทรงแบบหุ่นที่ใช้ตกแต่ง นอกจากนั้น มันก็จะต้องสะท้อนถึงความเป็นลิบบาด้วย มันก็เลยต้องเป็นสถานที่ที่อบอุ่น เธออยู่ที่นั่นมานานแล้ว และเพื่อนๆ ของเธอก็มาขลุกอยู่ที่นี่ด้วย มันมีโซฟาที่ดูดีและของตกแต่งแบบที่เราจะใช้เวลาเป็นปีๆ ในการสะสมและจัดแสดงน่ะครับ”
ฮาล์ฟ โน้ต
การค้นคว้าข้อมูลเป็นส่วนสำคัญสำหรับภาพยนตร์ของพิกซาร์ ที่นำพาทีมผู้สร้างไปสู่สถานที่ต่างๆ ตั้งแต่ลานฝังขยะไปสู่สก็อตแลนด์ และ “Soul” ก็ต้องอาศัยการค้นคว้าข้อมูลที่ดีที่สุดจนถึงปัจจุบันจากพวกเขา “เราได้ไปเยือนแจ๊สคลับหลายแห่ง” พิลเชอร์กล่าว “ฮาล์ฟ โน้ตมีสเกลแบบเดียวกับแจ๊สคลับทั่วๆ ไป เราไม่อยากจะทำผิดขนบและประวัติศาสตร์รวมถึงความรุ่มรวยของคลับพวกนี้ บรรยากาศมีความสมจริง แต่ก็ร่วมสมัย เรารู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้สร้างภาพเหมือนของตำนานแห่งวงการแจ๊สมาประดับตามผนังของคลับน่ะครับ”
โชกล่าวเสริมว่า “เราต้องการจะบันทึกภาพฉากแจ๊สที่ให้ความรู้สึกสนิทชิดเชื้อ คลับใต้ดินเจ๋งๆ ที่คุณจะเดินลงข้างล่างไปสู่พื้นที่เล็กๆ เพื่อให้คุณรู้สึกใกล้ชิดกับดนตรีน่ะครับ”
ระหว่างการออดิชันที่ฮาล์ฟ โน้ตของโจ เขาได้ก้าวเข้าสู่สิ่งที่เขาเรียกว่า “เดอะ โซน” ทีมผู้สร้างต้องจินตนาการว่ามันน่าจะดูเป็นอย่างไร “มันเป็นเรื่องส่วนบุคคลมากๆ ครับ” ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายเอฟเฟ็กต์ บิล วอทรัลกล่าว “เราอาศัยภาพถ่ายและภาพวาดเพื่อใช้ในการหาลุคนั้นน่ะครับ”
วอทรัลกล่าวว่า โน้ตพื้นฐานจะก่อให้เกิดรูปทรงแบ็คกราวน์สีน้ำเงินเข้ม “ส่วนมือขวา พวกอาร์เปจโจทั้งหมดที่เขาเล่น จะถูกแทนด้วยรูปทรงเรขาคณิตสีชมพูที่มีขนาดเล็กกว่า ที่หมุนวนรอบตัวเขาครับ” วอทรัลกล่าว
อพาร์ทเมนต์ของโจ
แบบดีไซน์และการตกแต่งสำหรับอพาร์ทเมนต์ของโจได้รับการชี้นำโดยตัวละครเอง “มันมีศูนย์กลางอยู่ที่ความรักที่มีต่อดนตรีของเขา” โชกล่าว “แน่นอนว่าเขาต้องมีเปียโน และเราก็สร้างส่วนที่เหลือของอพาร์ทเมนต์ขึ้นรอบนั้น มีชั้นวางแผ่นแอลพี แต่ไม่มีโทรทัศน์ครับ”
อิเมจิเรจินตนาการว่าแม่ของโจก็ช่วยในเรื่องของการตกแต่งเช่นกัน และเพิ่มหมอนลายสัตว์เข้าไป “มันกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกลับลับและป่าดงพงไพรค่ะ” อิเมจิเรกล่าว “และมันก็เป็นการทำซ้ำลวดลายที่เราเห็นที่ชุดเดรสของโดโรเธียด้วย ซึ่งเธอก็เป็นคนที่เขาใฝ่ฝันอยากจะเลียนแบบค่ะ”
“นครก่อนเกิดงั้นรึ?”
“อ๋อ ตอนนี้เราเรียกมันว่า งานสัมมนา ตัวคุณ แล้วล่ะ มันเป็นการรีแบรนด์น่ะ”
นครก่อนเกิด
แม้ว่าทีมผู้สร้างจะสามารถใช้ข้อมูลจากเมืองใหญ่ในชีวิตจริงมาสร้างฉากนิวยอร์ก ซิตี้ ใน “Soul” ได้ แต่นครก่อนเกิดก็จะต้องถูกสร้างขึ้นใหม่จากความว่างเปล่า “การสร้างโลกแบบนี้สนุกสุดๆ แต่ก็ท้าทายสุดๆ ด้วยเหมือนกัน เพราะพวกมันจะเป็นยังไงก็ได้” ผู้กำกับพีท ด็อกเตอร์กล่าว “เป็นเรื่องสำคัญมากๆ ที่มันจะสะท้อนถึงตัวละครหลักและเรื่องราวที่เราบอกเล่าเกี่ยวกับเขา โจเชื่อว่าเขาเกิดมาเพื่อเป็นนักดนตรี ดังนั้น โลกใบนี้ก็เลยถูกออกแบบมาให้ขยายระบบความเชื่อของเขา ดวงวิญญาณจะถูกมอบบุคลิกและความสนใจให้น่ะครับ”
ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายวิชวล เอฟเฟ็กต์ ไมเคิล ฟองกล่าวว่า ในตอนแรก ทีมผู้สร้างใช้คำอย่างอิมเพรสชันนิสต์และเหนือธรรมชาติมาอธิบายถึงโลกใบนี้ “เราไม่รู้หรอกว่ามันหมายถึงอะไรหรือโลกใบนี้จะมีหน้าตาเป็นอย่างไรในตอนแรก มันต้องอาศัยการทดลองและการสำรวจมากมายครับ” ฟองกล่าว “แล้วเราก็ค้นพบว่าเราสามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่เหนือธรรมชาติแบบอิมเพรสชันนิสต์ได้ด้วยการสร้างรูปทรงอ่อนนุ่มขึ้นมาจากการผสมผสานปริมาตร อนุภาคและเส้นสายต่างๆ ทีมผู้สร้างชื่นชอบการที่ขอบนุ่มๆ ของวัตถุต่างๆ ดูเหมือนจะกลืนกันไปกับวัตถุอีกชิ้นหนึ่งน่ะครับ”
ผู้ออกแบบงานสร้าง สตีฟ พิลเชอร์เล่าว่า กุญแจสำหรับลุคของโลกใบนี้คือความอ่อนนุ่มแบบพิเศษ “แทบทุกอย่างจะมีความพร่าเลือนอยู่ในระดับหนึ่งครับ” เขากล่าว “มีบางสิ่งที่ดูเหมือนหญ้า แต่ก็ไม่เชิงเป็นหญ้า มันอ่อนนุ่ม แทบจะเหมือนกับขนนก มันมีลักษณะการเคลื่อนไหวในแบบโปร่งแสง ทุกอย่างจะอ่อนนุ่มมากๆ มีความเหนือธรรมชาติ และโปร่งแสง สีที่ใช้หลักๆ จะออกไปในโทนพาสเทลมากๆ เป็นการลดทอนความอิ่มสีลงไปน่ะครับ”
จินตนาการที่เป็นเอกลักษณ์ของด็อกเตอร์ถูกนำเสนอออกมาอย่างเต็มที่ในโลกใบนี้ “คุณสามารถบอกได้จากหนังเรื่องก่อนๆ ของพีทเช่น ‘Up’ และ ‘Inside Out’ ว่าเขารักแอนิเมชั่นและชื่นชอบการผลักดันขอบเขตของสิ่งที่มันสามารถทำได้ออกไปอีก” ผู้อำนวยการสร้างบริหารแดน สแกนลอนกล่าว “แต่กับ ‘Soul’ เขาและทีมงานต้องการที่จะไปไกลกว่าเดิม พวกเขาต้องการจะแสดงให้ผู้ชมได้เห็นโลกที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อนในรูปแบบของงานสัมมนา ตัวคุณ สำหรับพีทและทีมงาน การแสดงสิ่งใหม่ๆ ออกมาเป็นเรื่องของการยับยั้งชั่งใจมากกว่าการเพิ่มสิ่งละอันพันละน้อยเข้าไป โลกที่ดูเหมือนจะเรียบง่าย มีรูปทรงสวยๆ ใหญ่โต มีตึกแบบแอ็บสแทร็คที่ไม่เหมือนสิ่งที่คุณจะเห็นบนโลก คุณต้องใช้ความกล้ามากๆ ในการพยายามจะสื่อสารไอเดียด้วยสิ่งที่น้อยกว่า แต่ถ้ามีการทำในแบบที่เหมาะสมล่ะก็ มันจะสื่อสารอะไรได้มากกว่าอีกครับ”
จุนฮันโช ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายฉากกล่าวว่า การสร้างโลกขึ้นจากความว่างเปล่าเป็นเรื่องที่ทั้งน่าตื่นเต้นและเหนื่อยแสนสาหัส “ถ้าเราอยากได้เนินเขา เราก็ต้องหยุดและตั้งคำถามว่า ‘เนินเขานั่นสร้างจากอะไร’ น่ะครับ” เขากล่าว “เราไม่สามารถใช้หญ้าหรือดินได้ มันจะต้องถูกสร้างมาจากอย่างอื่น และเราก็ต้องหาคำตอบว่าสิ่งนั้นคืออะไร มันเปล่งประกายรึเปล่า มันมีสีอะไร มันเหมือนกับการประดิษฐ์ภาษาใหม่เลยครับ”
ในขณะเดียวกัน ทีมผู้สร้างก็ต้องการทำให้โลกที่เป็นที่จดจำได้สำหรับผู้ชมภาพยนตร์ด้วย “เรามีต้นไม้ ตึก ต้นหญ้าในเวอร์ชันของเรา” โชกล่าว “ความคุ้นเคยแบบนั้นจะเป็นฐานความเป็นจริงให้กับผู้ชม เพื่อที่พวกเขาจะได้เข้าใจได้ดียิ่งขึ้นว่าสถานที่นี้ควรจะเป็นอะไรน่ะครับ”
ต่างกับซีเควนซ์นิวยอร์ก ซิตี้ ผู้กำกับภาพแมทท์ แอสพ์เบรีได้ใช้แพ็คเกจเลนส์สเฟียร์สำหรับนครก่อนเกิด นอกจากนั้น ยังมีการออกแบบการเคลื่อนไหวของกล้องเพื่อรองรับความรู้สึกที่พวกเขาอยากจะนำเสนอด้วย “พีท [ด็อกเตอร์] อยากให้มันให้ความรู้สึกที่สงบมากๆ เป็นสภาพแวดล้อมเหนือธรรมชาติที่อยู่ภายใต้การควบคุม” แอสพ์เบรีกล่าว “ทุกอย่างนุ่มนวล กล้องเองก็สะท้อนความนุ่มนวลนั้นออกมาในแบบที่ล่องลอยมากๆ แทบจะไร้น้ำหนักเลยล่ะครับ”
ทีมผู้สร้างได้ปรึกษากับผู้กำกับภาพชื่อดัง แบรดฟอร์ด ยัง “สิ่งหนึ่งที่ผมรบเร้าให้ทุกคนสร้างความเชื่อมโยงกับมันในแง่ของกล้องคือการสร้างภาพวิชวลบางอย่างให้อ้างอิงไปถึงดนตรี” ยังกล่าว “คุณต้องมีอิสระและความเปราะบางครับ”
ผู้กำกับภาพเอียน เมกิ๊บเบนเล่าว่า การให้แสงของเรื่องได้แรงบันดาลใจจากบรรดาดวงวิญญาณใหม่เอง “เราพยายามจะปลุกเร้าไอเดียของรุ่งอรุณ ของวันใหม่” เมกิ๊บเบนกล่าว “มันมักจะมีลุคแบบรุ่งสางเสมอ ด้วยสีพาสเทลหลากสีที่สดใสมากๆ และเจ๋งมากๆ ครับ”
“มันสร้างขึ้นจากวัสดุที่พื้นผิวไม่แข็งกระด้าง” เมกิ๊บเบนกล่าวต่อ “ทุกอย่างนุ่มนวลไปหมด เราใช้การผสมผสานเทคนิคเรนเดอร์ต่างๆ เพื่อสร้างลุคเหนือธรรมชาติที่มีมิตินี้ขึ้นมา”
นครก่อนเกิด ซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อของ งานสัมมนา ตัวคุณ เป็นแหล่งพำนักของที่ปรึกษา ผู้ทำงานอย่างขยันขันแข็งเพื่อเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างที่จำเป็นต่อดวงวิญญาณใหม่ในการลงไปยังโลกมนุษย์ ภายในงานสัมมนา ตัวคุณ เต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวมากมายที่ดวงวิญญาณใหม่ๆ ไปเยือน
“ป้ายแรก เคหาสน์ตื่นเต้น พวกเธอสี่คน เข้าไปซะ!
ส่วนพวกเธอห้าคนจะมีนิสัยไม่แยแสอะไร
ส่วนพวกเธอสองคน ตามนั้นแล้วกัน”
เคหาสน์บุคลิก
เคหาสน์บุคลิกเป็นอาคารแยกที่ซึ่งดวงวิญญาณใหม่จะไปรับบุคลิกของตัวเอง ผู้กำกับศิลป์ฝ่ายฉาก พอล อบาดิลลากล่าวว่า เคหาสน์แต่ละหลังจะเป็นสิ่งแทนลักษณะนิสัยหนึ่งๆ “เราทิ้งพื้นที่บางส่วนไว้สำหรับการตีความ เพราะมันมีความเป็นไปได้มากมายเหลือเกิน” อบาดิลลากล่าว “แต่เคหาสน์เด่นๆ ของเราจะใช้รูปทรงที่เป็นภาพจำ ยกตัวอย่างเช่น เคหาสน์ความไม่แยแสจะดูเหมือนภาพจมูกชี้ขึ้นไปบนฟ้า มันเป็นการบ่งบอกข้อมูลอย่างรวดเร็ว ที่ได้รับการสนับสนุนโดยการแสดงของตัวละครครับ”
ห้องโถงตัวคุณ
ห้องโถงตัวคุณคือที่ที่พี่เลี้ยงสามารถแบ่งปันเรื่องราวชีวิตของพวกเขาให้ดวงวิญญาณใหม่ได้รับฟัง สภาพแวดล้อมของมันถูกออกแบบให้เลียนแบบพิพิธภัณฑ์ ด้วยการใช้ภาพและภาพเด่นที่นำเสนอช่วงเวลาสำคัญๆ ในประวัติของพี่เลี้ยงคนนั้นๆ
ห้องโถงทุกสรรพสิ่ง
ห้องโถงทุกสรรพสิ่งเป็นคอลเล็กชันที่รวมทุกอย่างบนโลกนี้ ที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับดวงวิญญาณใหม่ที่ค้นหาประกายชีวิตของพวกเขามาไว้ด้วยกัน พิลเชอร์กล่าวว่า “เราได้ฟอกสีห้องโถงทุกสรรพสิ่ง ที่ซึ่งดวงวิญญาณไปทำการปฏิสัมพันธ์กับสิ่งที่ตัวเองน่าจะสนใจ ทุกสิ่งที่อยู่นั่นเป็นอะไรที่คุ้นตา แต่มันจะไม่มีสีสันเว้นเสียแต่คุณจะมีปฏิสัมพันธ์กับมันครับ”
“มันจะเป็นการตีความของสิ่งที่ที่ปรึกษาคิดว่าโลกมนุษย์จะเป็นยังไง” ไมเคิล ฟอง ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายวิชวล เอฟเฟ็กต์กล่าวเสริม
ดินแดนดารา
ดินแดนดารา ที่อยู่ติดกับงานสัมมนา ตัวคุณ เป็นที่ที่กลุ่มคนทรงไร้พรมแดนพยายามช่วยเหลือดวงวิญญาณหลงทางทั้งหลายอย่างขมีขมัน “พื้นที่นี้ได้แรงบันดาลใจจากทรายแม่เหล็กครับ” อบาดิลลากล่าว “ทุกอย่างในจักรวาลจิตวิญญาณก่อกำเนิดจากอนุภาคชิ้นเล็กๆ ที่เปล่งประกายระยิบระยับนี้ ในขณะที่งานสัมมนา ตัวคุณ จะถูกสร้างขึ้นในคำนวณมากกว่า แต่ดินแดนดาราจะเป็นไปตามธรรมชาติมากกว่าครับ”
ทรายดารานี้จะต้องเคลื่อนไหวในลักษณะที่เฉพาะเจาะจง โดยเฉพาะในตอนที่เรือของมูนวินด์แล่นผ่าน และนั่นก็อยู่ในความรับผิดชอบของบิล วอทรัลและทีมงานของเขา “ไอเดียเบื้องหลังสถานที่แห่งนี้คือมันเป็นโครงสร้างที่สร้างจากสิ่งที่คุณคิดว่ามันเป็นตอนที่คุณอยู่ตรงนั้น มันจะเป็นอะไรก็ได้ทั้งนั้น” วอทรัลกล่าว “ในตอนที่เรือผลักทรายออกไป มันจะเคลื่อนไหวในแบบที่ไม่ได้อิงตามหลักความเป็นจริงและมันก็จะแข็งตัว ก่อนที่มันจะมีรูปทรงแบบสภาพแวดล้อมรอบด้าน นอกจากนั้น เรายังได้วางตำแหน่งเส้นทางระยิบระยับสำหรับทุกอย่างเอาไว้ด้วย เราระมัดระวังในการควบคุมว่าประกายระยิบพวกนั้นจะอยู่ตรงไหนบ้างในทั่วโลกน่ะครับ”
ในภวังค์
ทีมผู้สร้างเลือกเทรนท์ เรซเนอร์ และแอทติคัส โรส มารังสรรค์ดนตรีประกอบสุดซาบซึ้ง และเลือกจอน บาทิสต์
มาแต่งเพลงแจ๊ส
“ถ้าคุณย้อนกลับไปดูหนังแอนิเมชั่นที่มีเสียงยุคแรกๆ บางเรื่อง” ผู้กำกับพีท ด็อกเตอร์กล่าว “มันก็จะมีความเชื่อมโยงจริงๆ ระหว่างมันกับดนตรีแจ๊ส มันมีจังหวะ มันฟังดูน่าสนใจ และเป็นของจริง ผมรู้สึกเสมอว่ามีความสุขอย่างยิ่งตอนที่ได้ฟังอะไรบางอย่างและได้เห็นภาพที่สอดประสานไปในขณะเดียวกัน ผมคิดว่านั่นเป็นสิ่งที่ทำให้นักวาดภาพแอนิเมชั่นช่วงเริ่มแรกหลายคนสนใจแจ๊ส เพราะพวกเขาตระหนักว่ามันจะสอดประสานกับสิ่งที่พวกเขาพยายามจะสร้างเป็นภาพวิชวลได้ดีแค่ไหนน่ะครับ”
ระหว่างด็อกเตอร์และทีมผู้สร้างที่พิกซาร์ แอนิเมชั่น สตูดิโอส์กำลังพัฒนา “Soul” ขึ้นมา ในตอนแรก พวกเขาก็ไม่มั่นใจว่าโจควรจะไฟแรงกับอะไรดี “เราต้องการสิ่งที่โจจะสามารถทำได้ ที่จะแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มของชีวิต สิ่งที่เราทุกคนต่างก็เอาใจช่วยน่ะครับ” ด็อกเตอร์กล่าว “จะเป็นยังไงถ้าเขาเป็นนักวิทยาศาสตร์หรือนักธุรกิจ แล้วโชคชะตาก็ดลบันดาลให้เราเจอวิดีโอจากมาสเตอร์คลาสออนไลน์โดยเฮอร์บี้ แฮนค็อก ตำนานแห่งวงการแจ๊สครับ”
“ผมมีประสบการณ์ที่วิเศษสุดในการร่วมงานกับไมลส์ เดวิสครับ” แฮนค็อกพูดในวิดีโอนั้น “ผมได้เล่นสิ่งที่คุณอาจพูดได้ว่าผิดพลาดเชิงเทคนิค มันเกิดขึ้นระหว่างคอนเสิร์ตที่เป็นคอนเสิร์ตที่ดีที่สุดของทัวร์ครั้งนั้น เราสนุกกันมาก และระหว่างหนึ่งในเพลงพวกนั้น ระหว่างเพลงของไมลส์ ผมก็เล่นคอร์ดผิดพลาด ผมคิดว่าผมทำทุกอย่างพังและทำให้ค่ำคืนที่ยอดเยี่ยมล้มไม่เป็นท่า ไมลส์สูดลมหายใจเข้า แล้วเขาก็เล่นโน้ตบางตัวและแก้ไขคอร์ดของผมให้กลับมาถูกต้อง ผมคิดไม่ออกเลยว่าเขาทำได้ยังไง มันฟังดูเหมือนเวทมนตร์เลย ผมใช้เวลาหลายปีกว่าจะเข้าใจได้ว่าเกิดอะไรขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ผมตัดสินสิ่งที่ผมเล่นออกไป แต่ไมลส์ไม่ใช่ ไมลส์ก็แค่ยอมรับว่ามันเป็นสิ่งใหม่ที่เกิดขึ้นมา และเขาก็ทำในสิ่งที่นักดนตรีแจ๊สทุกคนมักพยายามจะทำ ซึ่งนั่นก็คือการพยายามจะทำให้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่มีคุณค่าครับ”
“ตอนที่เราได้ฟังเรื่องนั้น” ด็อกเตอร์กล่าว “เราก็คิดว่า ไม่เพียงแต่มันจะเป็นเรื่องราวที่ยอดเยี่ยมเท่านั้น แต่มันยังเป็นการเปรียบเทียบกับชีวิตที่เพอร์เฟ็กต์ด้วย เราคิดว่าแจ๊สเป็นตัวแทนที่เพอร์เฟ็กต์จริงๆ โจจะต้องเป็นนักดนตรีแจ๊สครับ”
ในขณะที่ดนตรีเป็นส่วนสำคัญของภาพยนตร์พิกซาร์เสมอ ลองนึกถึงแรนดี้ นิวแมนกับแฟรนไชส์ “Toy Story” หรือ “Coco” ที่เป็นเหมือนจดหมายรักแด่เม็กซิโกในปี 2017 มันก็กลายเป็นส่วนที่ขาดไม่ได้สำหรับการเล่าเรื่องราวของ “Soul” ไปในทันที
ทีมผู้สร้าง ผู้มุ่งมั่นต่อการนำเสนอแนวดนตรีที่เป็นที่รักนี้ในรูปแบบที่สมจริง ได้เรียกรวมตัวบรรดามืออาชีพจากวงการแจ๊ส ซึ่งรวมถึงแฮนค็อก, เดวีด ดิกส์, อาห์เมียร์ “เควสท์เลิฟ” ธอมป์สันและมือกลองแจ๊ส นักประพันธ์ ผู้อำนวยการสร้างและนักการศึกษาชาวอเมริกัน เทอร์รี ลิน แคร์ริงตัน “ตอนที่ผมมาทำงานนี้ พวกเขาก็เขียนหลายๆ อย่างถูกต้องอยู่แล้วในบท” แคร์ริงตันกล่าว “ผมอยากให้หนังเรื่องนี้บันทึกความสุขของดนตรี ความสุขของนักดนตรีจริงๆ บ่อยครั้ง ความเจ็บปวดและการดิ้นรนถูกนำมาเชื่อมโยงกับดนตรีบลูส์ แจ๊สหรือแม้กระทั่งดนตรีของคนผิวดำยุคใหม่ ผมก็เลยรู้สึกดีที่ได้เห็นว่ามุมมองของพวกเขาได้บันทึกส่วนที่มีความสุขนั้นได้จริงๆ ครับ”
โลกทั้งสองแห่งที่ถูกสร้างขึ้นมาใน “Soul” ต้องอาศัยสไตล์ดนตรีสองแบบที่แตกต่างกัน เพื่อช่วยหล่อหลอมโลกแต่ละแห่งให้มีเอกลักษณ์โดดเด่น จอน บาทิสต์ ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลแกรมมีและนักดนตรีชื่อดังระดับโลก ทำหน้าที่เรียบเรียงและประพันธ์ดนตรีแจ๊สดั้งเดิมให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้และเจ้าของรางวัลออสการ์ เทรนท์ เรซเนอร์และแอทติคัส รอส (“The Social Network”) จากไนน์ อินช์ เนลส์ ได้รังสรรค์ดนตรีประกอบที่จะล่องลอยอยู่ระหว่างโลกที่แท้จริงและโลกจิตวิญญาณ
จอน บาทิสต์
“ผมโตมากับการ์ตูนพีนัทส์และดนตรีของวินซ์ กัวรัลดี้ครับ” ด็อกเตอร์กล่าว “ผมรู้สึกเหมือนมันไหลเวียนอยู่ในเส้นเลือดของผม และนี่ก็เป็นเวอร์ชันของเรา จอน บาทิสต์เป็นนักดนตรีที่วิเศษสุด เขาเป็นนักประวัติศาสตร์แต่ก็สามารถผลักดันดนตรีไปข้างหน้า และใส่เอาอิทธิพลที่แตกต่างกันทั้งหมดเหล่านี้มาสู่ผลงานของเขา ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าดนตรีแจ๊สใน ‘Soul’ จะเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่ครับ”
บาทิสต์กล่าวว่า ดนตรีของเรื่องถูกแต่งขึ้นโดยคำนึงถึงข้อนั้น “บทประพันธ์ทั้งหมดได้รับอิทธิพลจากประวัติศาสตร์หลายร้อยปีของดนตรีแจ๊ส ซึ่งทำให้ผู้ฟังสัมผัสได้ถึงจุดอ้างอิงมากมายครับ” บาทิสต์กล่าว “นี่เป็นวิธีเล็กๆ น้อยๆ ที่จะแสดงความเคารพกับมันพร้อมทั้งแนะนำเสียงประเภทนี้ให้ผู้ฟังกลุ่มใหม่ด้วยครับ”
บาทิสต์ได้ทำการดูแลวงดนตรีหลากรุ่นที่ประกอบไปด้วยนักดนตรีสี่รุ่น ซึ่งรวมถึงตำนานที่มีชีวิตอย่างมือกลองวัย 95 ปี รอย เฮย์เนส ผู้เคยเล่นดนตรีกับชาร์ลีย์ ปาร์คเกอร์และหลุยส์ อาร์มสตรอง รวมถึงนักดนตรีหนุ่มสาวที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในโลกปัจจุบัน “การรวมสมาชิกวงแบบนี้เป็นเรื่องสำคัญสำหรับผมเพราะมันทำให้เซสชันเหล่านั้นมีมิติที่ลึกซึ้งและตำนานการสืบทอดที่รุ่มรวยครับ” บาทิสต์กล่าว “มันเหมือนเป็นการส่งต่อคบเพลิงเลย”
ผู้กำกับร่วมเคมป์ พาวเวอร์สพบว่าแนวทางเก่าคือใหม่แบบนี้เป็นอะไรที่มีเสน่ห์ดึงดูดใจ “บางคนอาจมองแจ๊สว่าเป็นศิลปะรูปแบบเก่า” พาวเวอร์สกล่าว “สิ่งที่ผมชื่นชอบเกี่ยวกับทัศนคติของจอน บาทิสต์คือตอนที่คุณคุยเรื่องแจ๊สกับเขา เขาจะบอกว่าแจ๊สเป็นดนตรีแบบใหม่ที่สุดที่มีอยู่ คุณจะสร้างมันไปในขณะที่คุณเล่นมันอยู่ และก็ไม่มีอะไรใหม่ไปกว่านั้นอีกแล้วครับ”
บาทิสต์รู้สึกเข้าถึงตัวละครหลักได้อย่างเป็นธรรมชาติ “ในฐานะที่ผมเองก็เป็นคนรักดนตรีโดยเนื้อแท้อยู่แล้ว ผมก็เลยมักจะฟังและวิเคราะห์สภาพแวดล้อมของผมผ่านทางบริบทของดนตรี แม้แต่ตอนที่ผมไม่ได้เล่นดนตรีก็ตาม” เขากล่าว “โจก็มีคุณสมบัตินี้เหมือนกัน ท้ายที่สุดแล้ว โจก็ได้เรียนรู้ว่า ในชีวิตมีอะไรมากกว่าดนตรี ผมเองก็เข้าใจเรื่องนั้นด้วยเหมือนกันและจดจำได้ดีว่ามันเป็นเรื่องสำคัญมากๆ สำหรับผมแค่ไหนที่ได้เรียนรู้เรื่องนี้ในฐานะนักดนตรีหนุ่มน่ะครับ มันส่งผลกระทบต่อผมอย่างลึกซึ้ง สิ่งที่เราเล่นออกไปคือชีวิต และเราก็ต้องเห็นคุณค่าของชีวิตเพื่อที่มันจะออกมาจากเครื่องดนตรีครับ”
ในตอนที่บันทึกคิวเพลง พรสวรรค์ของบาทิสต์ก็เจิดจรัส “เขาจะเล่นอะไรบางอย่างที่ให้ความรู้สึกแปลกๆ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม” เควิน โนลทิง มือลำดับภาพ กล่าว “พีทจะคุยกับเขา และภายในเวลาไม่กี่นาที เขาก็จะเปลี่ยนคิวเพลงนั้นให้ฟังดูเพอร์เฟ็กต์สำหรับหนังเรื่องนี้ครับ”
เทรนท์ เรซเนอร์ & แอทติคัส รอส
“Soul” เป็นครั้งแรกที่เรซเนอร์และรอสได้แต่งดนตรีสำหรับภาพยนตร์แอนิเมชั่น แต่แนวทางของพวกเขาก็ไม่ได้แตกต่างจากผลงานของพวกเขาในภาพยนตร์เรื่องอื่นเลย เรซเนอร์กล่าวว่า “ขั้นตอนแรกของเราคือการฟังและพยายามทำความเข้าใจจริงๆ ว่า ทีมผู้สร้างมีความคิดอ่านแบบไหน พวกเขามองเห็นอะไรและจินตนาการถึงอะไร เราใช้เวลาคุยกันอยู่นานว่าคุณควรจะรู้สึกยังไงตอนที่คุณได้สัมผัสกับโลก ‘Soul’ เป็นครั้งแรก แล้วเราก็กลับไปที่สตูดิโอของตัวเอง ซึ่งเต็มไปด้วยเครื่องดนตรีจริงๆ เครื่องดนตรีในจินตนาการและเครื่องดนตรีสังเคราะห์หลากหลายแบบ และใช้เวลาช่วงแรกไปกับการทดลองการเรียบเรียงเสียงและเครื่องดนตรีแบบต่างๆ เพื่อลองดูว่าอะไรที่จะให้อารมณ์ที่เหมาะสมต่อการสร้างผืนผ้าของโลกใบนี้น่ะครับ”
รอสเล่าว่า พวกเขาอยากจะช่วยสร้างความแตกต่างให้กับพื้นที่ต่างๆ ของโลกใบนั้น “มีนครก่อนเกิด พื้นที่ไกลโพ้น ดินแดนดารา งานสัมมนา ตัวคุณ” เขากล่าว “ทุกที่ต้องมีอัตลักษณ์ของตัวเองครับ”
ในการสร้างเสียงที่เหมาะสม พวกเขาได้เลือกใช้ซินธีไซเซอร์แต่ก็ทำทุกอย่างราวกับว่าพวกมันเป็นเครื่องดนตรีปกติธรรมดา “เราได้บันทึกเสียงมันแบบมัลติแทร็คเหมือนกับว่าเรากำลังบันทึกเสียงกับวงออร์เคสตราอยู่เลยครับ” เรซเนอร์กล่าว “ตลอดหลายปีมานี้ เราได้คิดเทคนิคใหม่ๆ ในการนำเสนอเสียงที่เหมือนไม่ได้เป็นของโลกใบนี้ แต่ก็ให้ความรู้สึกอบอุ่น เป็นธรรมชาติและมีชีวิตชีวาขึ้นมาครับ”
ด็อกเตอร์เล่าว่า แนวทางที่มีเอกลักษณ์ของพวกเขาเป็นสิ่งที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ต้องการพอดี “เราต้องการให้ดนตรีประกอบหนังเรื่องนี้แตกต่างจากหนังพิกซาร์เรื่องอื่นๆ” เขากล่าว “เราตื่นเต้นที่ได้ร่วมงานกับเทรนท์และแอทติคัสเพราะเรารู้ว่าพวกเขาจะพาเราไปสู่ที่ที่เราไม่เคยไปมาก่อน แนวทางการรังสรรค์เสียงและการคิดแบบสร้างสรรค์ของพวกเขาทำให้การร่วมงานกับพวกเขาเป็นสิ่งที่สร้างแรงบันดาลใจได้จริงๆ ครับ”
การสร้างการแสดง
แจ๊สเป็นส่วนที่สำคัญเหลือเกินของ “Soul” จนทีมผู้สร้างต้องการจะทำให้แน่ใจว่าการแสดงทุกครั้งจะสมจริง ความพยายามนั้นต้องอาศัยแผนกต่างๆ และการทำงานหลายร้อยชั่วโมงเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่จะได้รับการยอมรับจากบรรดาศิลปินแจ๊ส
มีการบันทึกฟุตเตจอ้างอิงมากมาย ใช้มุมกล้องหลายๆ แบบ รวมถึงการโคลสอัพมือของนักดนตรีที่เล่นเปียโนและแซ็กโซโฟน รวมถึงเบสและกลองด้วย “สำหรับช็อตพวกนั้น ที่หลายช็อตมีความยาวหลายพันเฟรม เราได้ถ่ายทำภาพไว้มากมายไว้ใช้ในการลำดับภาพครับ” ผู้กำกับภาพแมทท์ แอสพ์เบรีกล่าว
ผู้อำนวยการสร้างดาน่า เมอร์เรย์กล่าวเสริมว่า “ความสมจริงที่เราสามารถสร้างได้ตอนที่โจเล่นเปียโนและโดโรเธียเล่นแซ็กโซโฟนเป็นหนึ่งในไฮไลท์สำคัญของหนังเรื่องนี้ คุณจะตกอยู่ในภวังค์ไปกับการเล่นดนตรีของพวกเขา ไปกับดนตรี ซึ่งในหลายๆ แง่มุมแล้ว นั่นคือประเด็นสำคัญค่ะ”